วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ข้อมูล จังหวัดอุบลราชธานี











จังหวัดอุบลราชธานี

 ตราประจำจังหวัด
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
คำขวัญประจำจังหวัด: อุบลเมืองดอกบัวงาม แม่นำสองสี มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน ถิ่นไทยนักปราชญ์ ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์ ฉลาดภูมิปัญญาท้องถิ่น ดินแดนอนุสาวรีย์คนดีศรีอุบล
ต้นไม้ประจำจังหวัด: ยางนา (Dipterocarpus alatus)
ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกบัว

ลักษณะภูมิประเทศ
จังหวัดอุบลราชธานี ตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า แอ่งโคราช (Korat basin) โดยสูง จากระดับน้ำทะเล เฉลี่ย ประมาณ 68 เมตร (227 ฟุต) ลักษณะโดยทั่วไปเป็นที่สูงต่ำ เป็นที่ราบสูงลาดเอียงไปทางตะวันออกมีแม่น้ำโขง เป็นแนวเขตกั้นจังหวัดอุบลราชธานีกับสาธารณรัฐ ประชาธิปไตย ประชาชนลาวมีแม่น้ำชีไหลมาบรรจบกับ แม่น้ำมูลซึ่งไหลผ่านกลางจังหวัด จากทิศตะวันตกมายังทิศตะวันออกแล้วไหลลงสู่แม่น้ำโขง ที่อำเภอ โขงเจียม และมีลำน้ำใหญ่ ๆ อีกหลายสาย ได้แก่ ลำเซบก ลำโดมใหญ่ ลำโดมน้อย และมีภูเขาสลับซับซ้อนหลายแห่ง ทางบริเวณชายแดน ตอนใต้ที่สำคัญคือ เทือกเขาบรรทัดและเทือกเขาพนมดงรักซึ่งกั้นอาณาเขตระหว่าง จังหวัดอุบลราชธานีกับสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว และกัมพูชา
ลักษณะภูมิสัณฐานของ จังหวัดอุบลราชธานี แบ่งออกโดยสังเขป ดังนี้
1. บริเวณ ที่เป็นสันดินริมน้ำ (River levee) เกิดจากตะกอนลำน้ำที่พัดพามาทับถม สภาพพื้นที่เป็นเนิน สันดินริมฝั่งแม่น้ำโขง และบาง บริเวณสัน ดินริมฝั่งลำเซบาย
2. บริเวณที่ เป็นแบบลานตะพักลำน้ำ (Terrace) ที่เกิดจากการกระทำของขบวน การของน้ำนานมาแล้ว ประกอบด้วยบริเวณที่เป็นลาน ตะพักลำน้ำระดับต่ำ ระดับกลางและระดับสูง ลักษณะพื้นที่ที่มีทั้งที่เป็นที่ราบแบบ ลูกคลื่นลอนลาดจนถึงลูกคลื่นลอนชัน จะอยู่ถัดจากบริเวณ ที่ราบลุ่ม น้ำท่วมถึงขึ้นมาพื้นที่เหล่านี้จะพบในบริเวณ ทั่วไปของจังหวัด กล่าวคือทางตอนเหนือ ทางตะวันออกและทางใต้บางแห่งใช้สำหรับทำนาและ บางแห่ง ใช้สำหรับปลูกพืชไร่
3. บริเวณที่เป็นแอ่ง (Depression) หรือที่ราบต่ำหลังแม่น้ำ (Back swamp) เกิดจากการกระทำของ ขบวนการของน้ำ พบบางแห่งใน บริเวณ ริมแม่น้ำโขง แม่น้ำชี ลำเซบายและลำโดมใหญ่ จะมีน้ำแช่ขังนานในฤดูฝน
4. บริเวณที่ เป็นเนินตะกอนรูปพัด (Coalescing fans) สภาพพื้นที่แบบนี้มีลักษณะเด่น คือ รูปร่างจะเป็นรูปพัด เกิดจากหินในบริเวณ เหล่านั้น ถูกทำให้แตกหักสะสมอยู่กับพวกที่มีอนุภาคละเอียดกว่าเมื่อฝนตกลงมาในปริมาณ มาก กำลังของน้ำจะมีมากจนสามารถพัดพาเอาตะกอน เหล่านั้น ออกมานอกหุบเขาได้ เมื่อมาถึงนอกหุบเขาหรือเชิงเขา สภาพพื้นที่ก็จะเป็นที่ราบทางน้ำไหลกระจายออกไป ทำให้กำลังของน้ำลดลงก็จะ ตกตะกอนในบริเวณน้ำจะพบอยู่ ทางตอนใต้และทางตะวันตกของจังหวัด 
            5. บริเวณที่ เป็นเนินที่เกิดจากการไหลของธารลาวา (
Lava flow hill) เป็นเนินเขา ที่เกิดจากการไหลของธาร ลาวา ดินบริเวณนี้จะมี ศักยภาพ ทางการเกษตรสูง ซึ่งเป็นผลจากการสลายตัวผุพังของหินบะซอลท์ บริเวณนี้จะพบ อยู่ในอำเภอน้ำยืน 
6. บริเวณที่ ลาดเชิงเขา (Foot hill slope) เป็นที่ลาดเชิงเขาที่ตะกอนบริเวณที่เกิด จากขบวนการของน้ำ นานมาแล้วทับถมกัน บริเวณ นี้จะพบ อยู่ในอำเภอโขงเจียม อำเภอพิบูลมังสาหาร อำเภอศรีเมืองใหม่ และอำเภอ ตระการพืชผล
            7. บริเวณที่ ลาดเชิงซ้อน (Slope complex) ลักษณะเป็นภูเขาหรือเทือกเขามีความลาดชันมากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์จะพบบริเวณเทือกเขา พนมดงรักในอำเภอน้ำยืนอำเภอนาจะหลวยและอำเภอบุณฑริก อีกแห่งหนึ่ง คือ เทือกเขาภูเขา ซึ่งจะพบมากในอำเภอโขงเจียม และอำเภอ ศรีเมืองใหม่
สายน้ำที่สำคัญของจ.อุบลราชธานี คือ แม่น้ำมูลและแม่น้ำชี  ก่อกำเนิดเป็นสายน้ำย่อยและกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด 
แม่น้ำมูล  เกิดจากเทือกเขาสัน  อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ไหลผ่านพื้นที่หลายจังหวัด คือ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ จากทางทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก ลงสู่แม่น้ำโขง บริเวณตอนด่านปากมูล อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี มีความยาวทั้งสิ้น 641 กม.
แม่น้ำชี  เกิดจากที่ราบด้านตะวันออกของเทือกเขาเพชรบูรณ์แม่น้ำชีถือว่าเป็นแม่น้ำที่มีความยาวมากที่สุดในประเทศไทย ไหลผ่านจังหวัดชัยภูมิ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร และไหลไปบรรจบกับแม่น้ำมูลที่บ้านวังยาง ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบจังหวัดอุบลราชธานี มีความยาวทั้งสิ้น 765 กิโลเมตร
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดอำนาจเจริญและประเทศลาว
ทิศตะวันออก ติดต่อกับประเทศลาว โดยพรมแดนบางช่วงใช้แม่น้ำโขงเป็นตัวกำหนด
ทิศใต้ ติดต่อกับประเทศกัมพูชา
ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดยโสธร
แนวพรมแดนติดต่อกับประเทศลาวและกัมพูชา รวมความยาวประมาณ 428 กิโลเมตร
ติดต่อกับประเทศลาว 361 กิโลเมตร (จากอำเภอเขมราฐถึงอำเภอน้ำยืน ติดต่อกับแขวงสะหวันนะเขต แขวงสาละวัน และแขวงจำปาสัก)
ติดต่อกับประเทศกัมพูชา 67 กิโลเมตร (อำเภอน้ำยืน ติดต่อกับจังหวัดพระวิหาร ประเทศกัมพูชา)

เศรษฐกิจ
จังหวัดอุบลราชธานี ประชาชนโดยทั่วไปประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก
ซึ่งมีพื้นที่การเกษตรทั้งสิ้น 6,034,170 ไร่ (51.07%) ประกอบกับมีสภาพภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมเพราะเป็นที่ราบลุ่มและมีแม่น้ำที่สำคัญ 2 สาย คือ แม่น้ำมูลและแม่น้ำชี
            โดยมีการทำนาข้าวและเพาะปลูกพืชไร่ชนิดต่าง ๆ เช่น ปอแก้ว มันสำปะหลัง ถั่วลิสง มีการเลี้ยงปศุสัตว์ และทำการประมงอยู่บ้างอาชีพอื่น ๆ ที่มีความสำคัญไม่น้อยคือ  อุตสาหกรรม  และการค้าการบริการ
จากสถิติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2552   จังหวัดอุบลราชธานี    มีมูลค่ารวมผลิตภัณฑ์จังหวัด (GPP.) ตามราคาประจำปี  77,767 ล้านบาท   มูลค่ารวมผลิตภัณฑ์เฉลี่ยต่อหัว (Per Capita  GPP.) 41,809  บาท   เมื่อพิจารณาด้านสาขาการผลิตที่ทำรายได้ให้แก่จังหวัดมากที่สุด  คือสาขาการขายส่ง การขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์ ฯ  ซึ่งมีมูลค่า  จำนวน 20,174 ล้านบาท  (ร้อยละ 25.9  ของมูลค่าทั้งหมด)  รองลงมาคือสาขาเกษตรกรรม การล่าสัตว์ และการป่าไม้  ซึ่งมีมูลค่า    จำนวน 11,937  ล้านบาท  (ร้อยละ 15.3)   และสาขาการศึกษา  จำนวน  10,515 ล้านบาท  (ร้อยละ  13.5)
          
ประเพณีวัฒนธรรม
งานประเพณีและศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น
          การกินดอง  หมายถึง งานพิธีมงคลสมรส มีความแตกต่างกับที่อื่นอยู่บ้างในส่วนปลีกย่อย โดยมักจะเรียกพิธีแต่งงานว่า “การกินดอง” ซึ่งหมายความในลักษณะผูกพันเกี่ยวดองฝ่ายหญิงฝ่ายชายจะเป็นดองซึ่งกันและกันเรียกว่า “พ่อดอง แม่ดอง
           การทำบุญข้าวประดับดิน การทำบุญข้าวประดับดินนิยมทำกันในวันแรม 13 - 14 ค่ำ เดือนเก้า โดยการห่ออาหาร     หรือของขบเคี้ยวเป็นห่อไปถวายทานบ้าง    นำไปห้อยตามต้นไม้บ้าง    ด้วยเหตุนี้จึงเรียกข้าวประดับดิน
การทำบุญข้าวสาก  นิยมทำกันในวันขึ้นสิบค่ำ  เดือนสิบ   เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  งานบุญเดือนสิบ ข้าวสากนั้นมาจากคำว่า  “สลาก”   เพราะบางเวลาถวายพระสงฆ์ไม่เจาะจงว่าถวายรูปใด  จึงจัดทำเป็นสลากชื่อเจ้าภาพจับได้ของใครก็นำไปถวายตามนั้น
           การทำบุญบั้งไฟ ประเพณีทำบุญบั้งไฟ  คือบุญเดือนหก ทำขึ้นบูชาอารักษ์ มเหศักดิ์ หลักเมือง ถือเป็นประเพณีขอฝนที่ได้ทำมาตั้งแต่บรรพกาล  คำว่า “บั้งไฟ”  หมายถึงกระบอกไม้ไผ่ที่นำมาบรรจุดินประสิวผสมกับถ่านไฟบดให้ละเอียดแล้วอัดลงในกระบอกไม้ไผ่  บั้งไฟมี  3  ขนาด คือ บั้งไฟน้อย บั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน การแห่บั้งไฟ มักจะจัดเป็นขบวนฟ้อนรำ หรือเซิ้ง ซึ่งมีลีลาที่งดงามอ่อนช้อยตามประเพณีของหมู่บ้านนั้น ๆ
ไหลเรือไฟ   เป็นประเพณีที่นิยมทำกันในวันออกพรรษา คือการปล่อยเรือไฟ ชาวอุบลราชธานี เรียกว่า “ไหลเฮือไฟ”  คือการนำเอาท่อนกล้วย หรือท่อนไม้มาทำเป็นรูปเรือ  เวลาประมาณทุ่มเศษก็จะนำมาจุดไฟ โดยใช้ขี้ไต้หรือน้ำมันยางแล้วปล่อยเรือให้ไหลไปตามน้ำ  จะมีการตีฆ้องตีกลอง  ตามวัดต่าง ๆ  พระสงฆ์จะจัดทำเรือไฟขึ้นในวัดตรงหน้าโบสถ์ ตอนกลางคืนจะนำดอกไม้ธูปเทียนมาจุดบูชา เป็นพุทธบูชา
ประเพณีแห่เทียนพรรษา  งานประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็นประเพณีทางพุทธศาสนา ของชาวอุบลราชธานี ซึ่งมีความเจริญในพุทธศาสนา วัฒนธรรม และประเพณีมาเป็นเวลายาวนานอีกทั้งยังเป็นต้นตำรับของงานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษาของไทยด้วย ถือเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดอุบลราชธานีเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยได้กำหนดจัดงานขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 และแรม 1 ค่ำเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา จัดให้มีขึ้นทุกปี
จากการสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ ได้ความว่า ชาวอุบลราชธานี ได้ทำต้นเทียนประกวดประชันความวิจิตรบรรจงกัน ตั้งแต่ พ.ศ. 2470 จนเมื่อปี พ.ศ. 2520 จังหวัดอุบลราชธานี ได้จัดงานสัปดาห์ประเพณีแห่เทียนพรรษา ให้เป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่และมโหฬาร สถานที่จัดงานคือ บริเวณทุ่งศรีเมืองและศาลาจตุรมุข มีการประกวดต้นเทียน 2 ประเภท คือ ประเภทติดพิมพ์ และประเภทแกะสลัก โดยขบวนแห่จากคุ้มวัดต่างๆ พร้อมนางฟ้าประจำต้นเทียน จะเคลื่อนขบวนจาก หน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม ไปตามถนน มาสิ้นสุดขบวนที่ทุ่งศรีเมือง และการแสดงสมโภชต้นเทียน แลเป็นแสงไฟต้องลำเทียนงามอร่ามไปทั้งงาน
ขบวนแห่เทียนพรรษา
ประวัติงานประเพณีแห่เทียนพรรษา
ก่อน สมัยพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองอุบล ชาวอุบลไม่มีการหล่อเทียนแห่เทียนเช่นปัจจุบัน ชาวบ้านจะฟั่นเทียนยาวรอบศีรษะไปถวายพระเพื่อจุดบูชาจำพรรษา ครั้นในสมัยกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้ เป็นผู้สำเร็จราชการที่เมืองอุบล คราวหนึ่งมีการแห่บั้งไฟที่วัดกลาง มีคนไปดูมาก ในการแห่บั้งไฟมีการตีกันในขบวนแห่จนถึงแก่ความตาย เสด็จในกรมเห็นว่าไม่ดี จึงให้เลิกการแห่บั้งไฟและเปลี่ยนเป็นการแห่เทียนแทน
การแห่เทียนแต่เดิมไม่ได้จัดใหญ่โตเช่นปัจจุบัน เพียงแต่ชาวบ้านร่วมกันบริจาคเทียน แล้วนำเทียนมาติดกับลำไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ ตามรอยต่อหากระดาษจังโก (กระดาษสีเงินสีทอง) ตัดเป็นลายฟันปลาปิดรอยต่อ เสร็จแล้วนำต้นเทียนไปมัดติดกับปิ๊ปน้ำมันก๊าด ฐานของต้นเทียนใช้ไม้ตีเป็นแผ่นเรียบ หรือทำสูงขึ้นเป้นชั้นๆ ติดกระดาษ เสร็จแล้วมีการแห่นำไปถวายวัด พาหนะที่ใช้นิยใช้เกวียน หรือล้อเลื่อนที่ใช้วัวหรือคนลากจูง การแห่ของชาวบ้านก็จะมีฆ้อง กลอง กรับ และการฟ้อนรำด้วยความสนุกสนาน
ในระยะเวลาประมาณ พ.ศ. 2480 การทำต้นเทียนได้พัฒนาขึ้น ถึงขั้นใช้การหล่อออกจากเบ้าพิมพ์ที่เป็นลายง่ายๆ เช่น ประจำยาม กระจัง ตาอ้อย บัวคว่ำ บัวหงาย ก้ามปู ฯลฯ แล้วนำไปติดที่ลำต้นเทียน ช่างผู้มีชื่อเสียงในทางนี้คือ นายโพธิ์ ส่งศรี ลายที่พ่อใหญ่โพธิ์ทำขึ้นเป็นลายง่ายๆ เช่น ลายประจำยาม กระจังตาอ้อย ใบเทศ บัวคว่ำบัวหงาย พ่อใหญ่โพธิ์เป็นช่างทำต้นเทียน ให้กับวัดทุ่งศรีเมือง ต่อมา นายสวน คูณผล ได้นำวิธีการดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ และประดับฐานต้นเทียนด้วยรูปปั้นสัตว์และลายไม้ฉลุ ทำให้ดูสวยงามมากขึ้น ผลงานทำต้นเทียน ของนายสวน คูณผล จึงมักจะได้รางวัลชนะเลิศอยู่เป็นประจำ
ในช่วงปี พ.ศ. 2494 ประชาชนเริ่มให้ความสนใจและเห็นความสำคัญ ในการทำและแห่เทียนพรรษามากขึ้น เมื่อทางจังหวัดได้ส่งเสริมให้งานเข้าพรรษาเป็นงานประเพณีประจำปี แต่ต้นเทียนในขณะนั้นยังมีการจัดทำอยู่เพียง 2 ประเภท คือ ประเภทมัดเทียนรวมกันแล้วติดกระดาษสีและประเภทพิมพ์ลายติดลำต้น
ใน พ.ศ. 2495 ได้มีการฟื้นฟูศิลปะการทำต้นเทียน และการแห่เทียนพรรษาของ จังหวัดอุบลราชธานี มีการประกวดเทียนพรรษา 2 ประเภท คือ ประเภทมัดรวมติดลาย และประเภท ติดพิมพ์
ครั้น พ.ศ. 2497 ช่างฝีมือรุ่นเยาว์ อันได้แก่ นายอารีย์ สินสวัสดิ์ นายประดับ ก้อนแก้ว ได้พัฒนาวิธีทำขึ้นใหม่ โดยใช้ปูนพลาสเตอร์แกะเป็นแม่พิมพ์ลายต่างๆ แล้วหล่อด้วยเทียนออกมาเป็นดอกๆ ผึ้งที่ใช้หล่อดอกไม้คนละสีกับลำต้น จึงทำให้มองเห็นเป็นส่วนลึกของลายอย่างชัดเจน นายประดับ ก้อนแก้ว ได้ทำต้นเทียนติดพิมพ์ และตกแต่งขบวนต้นเทียนของวัดมหาวนารามได้อย่างสวยงาม จนได้รับรางวัลชนะเลิศ
ประมาณปี พ.ศ. 2500 มีการจัดงานกึ่งพุทธกาลทั่วประเทศ งานด้านศาสนาจึงเฟื่องฟูมาก การแห่เทียนพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานี ได้รับการสนับสนุนให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น ทั้งด้านการจัดขบวนแห่ และการจัดหาสาวงามสำหรับต้นเทียน
พ.ศ. 2502 นายคำหมา แสงงาม ช่างสูงอายุคนหนึ่งได้คิดและแกะสลักต้นเทียนโดยไม่ต้องพิมพ์ดอกมาติด เหมือนเช่นที่ช่างรุ่นก่อนทำมา ทำให้ต้นเทียนแกะสลักที่นายคำหมาทำให้กับบ้านกุดเป่ง อำเภอวารินชำราบ มีความแปลกใหม่สวยงาม ดังนั้น ในปีต่อมา จึงได้มีการเสนอให้จัดประกวดต้นเทียน 3 ประเภท คือ ประเภทมัดรวมติดลาย ประเภทติดพิมพ์ และประเภทแกะสลัก ระยะต่อมา จึงตัดต้นเทียนประเภทมัดรวมติดลายที่เป็นต้นเทียนแบบเก่า ออกจากการประกวด ช่างแกะสลักต้นเทียนที่มีฝีมือในรุ่นต่อมา ได้แก่ นายอุตส่าห์ จันทรวิจิตร และนายสมัยจันทรวิจิตร ซึ่งเป็นพี่น้องกัน
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 จังหวัดอุบลราชธานี ได้จัดงานสัปดาห์ประเพณีแห่เทียนพรรษา ให้เป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่และมโหฬารมากที่สุดในประเทศไทย มีการประกวดต้นเทียนประเภทต่างๆ ประกวดขบวนแห่ และนางฟ้า โดยมีหลักเกณฑ์และวิธีการให้คะแนนอย่างรัดกุม มีการประชาสัมพันธ์งานกันอย่างกว้างขวางและททท.ได้จัดให้บรรจุลงในปฏิทินการท่องเที่ยว ทำให้มีผู้คนทั้งชาวไทยและต่างชาติมาเที่ยวและชมงานเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันจัดได้ว่าเป็นงานแห่เทียนต้นตำรับที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ได้อย่างครบถ้วน
ปี พ.ศ. 2555 เป็นปีที่จังหวัดอุบลราชธานี จัดงานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษาครบรอบ 111 ปี ในชื่องาน "111 ปีลือเลื่อง ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบล" 
สถานที่ท่องเที่ยว
สถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนาและวัฒนธรรม
วัดทุ่งศรีเมือง วัดทุ่งศรีเมือง   ตั้งอยู่ถนนหลวง  ตำบลในเมือง  อำเภอเมืองอุบลราชธานี สร้างขึ้นในสมัยพระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3  มีหอพระพุทธบาทเป็นอุโบสถที่พระสงฆ์ใช้ทำสังฆกรรม มีลักษณะของศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ตอนต้น และศิลปะเวียงจันทร์ผสมอยู่ด้วย  ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังทุกด้าน และภายในวัดยังมีหอพระไตรปิฎก เป็นหอที่สร้างด้วยไม้ตั้งอยู่กลางสระน้ำ เป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎก มีลักษณะเป็นศิลปะผสมระหว่างไทย พม่า และลาว
หอไตรหนองขุหลุ                                              วัดภูหล่น
วัดป่าไทรงาม                                                   วัดสุปัฏนารามวรวิหาร
วัดศรีอุบลรัตนาราม                                           พิพิธภัณฑ์บ้านปะอาว
วัดป่านานาชาติ                                                วัดสวนหินผานางคอย
วัดหนองป่าพง                                                 วัดถ้ำคูหาสวรรค์                           
วัดถ้ำปาฎิหาริย์                                                            วัดศรีสว่างวนาราม
วัดมหาวนาราม                                                วัดพระธาตุหนองบัว
ปราสาทบ้านเบ็ญ                                              พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี
พิพิธภัณฑ์เปิดบ้านก้านเหลือง                               พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ศรีเมืองใหม่
ศูนย์ศิลปาชีพอุบลราชธานี                                   บ้านคำปุน

สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ผาแต้ม  ตั้งอยู่บริเวณอุทยานแห่งชาติผาแต้ม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 95 กิโลเมตร  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพาน นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ มีลักษณะเด่นที่ภาพเขียนสีภูมิประเทศโดยรอบสวยงามด้านตรงข้ามเป็นประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นก่อนที่แห่งใดในประเทศไทยในบริเวณดังกล่าวด้วย
สามพันโบก  "สามพันโบก" ตั้งอยู่ที่บ้านโป่งเป้า ตำบลเหล่างาม อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นแก่งหินขนาดใหญ่ในลำน้ำโขง ซึ่งจะปรากฏให้เห็นเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง (ประมาณเดือนมกราคม เมษายน) ทั้งนี้ ที่เรียกว่า "สามพันโบก" เพราะบนแก่งหินมีแอ่งน้ำขนาดเล็กใหญ่จำนวนมากกว่า 3,000 แอ่ง (คำว่า "โบก" เป็นภาษาลาว แปลว่า "แอ่ง") จึงเรียกที่นี่ว่า สามพันโบก 
อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ อยู่ในท้องที่ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม และตำบลคำเขื่อนแก้ว อำเภอ     สิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี เดิมชื่อว่าอุทยานแห่งชาติหินกอง ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อ วันที่ 13 กรกฎาคม   2524  มีเนื้อที่ประมาณ  50,000 ไร่   แก่งตะนะจะมีสายน้ำเชี่ยวและลึก    ทั้งยังมีถ้ำใต้น้ำหลายแห่ง จึงทำให้ปลาบริเวณแก่งตะนะชุกชุม
แม่น้ำสองสี    ที่อำเภอโขงเจียม  จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบริเวณที่แม่น้ำมูลไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง   ทำให้เกิดสีแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน    คือแม่น้ำโขงมีสีน้ำตาลอ่อน  (สีชา)   ส่วนแม่น้ำมูลมีสีชาแกมเขียว นิยมพูดกันติดปากว่า “โขงสีปูนมูลสีคราม”    จุดที่สามารถมองเห็นแม่น้ำสองสีได้อย่างชัดเจนคือ   บริเวณลาดริมฝั่งแม่น้ำมูล แม่น้ำโขงหน้าวัดโขงเจียม และบริเวณบางส่วนของบ้านห้วยหมากใต้ ในเดือนเมษายนจะเป็นเดือนที่เห็นสีน้ำได้ชัดเจนที่สุด    และบริเวณใกล้เคียงมีบริการเรือพาล่องชมทัศนียภาพสองฝั่งแม่น้ำ  หรือซื้อของที่ระลึกที่ตลาดหมู่บ้านในฝั่งประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอีกด้วย
น้ำตกแสงจันทร์ (น้ำตกลงรู) ก่อนถึงน้ำตกทุ่งนาเมือง 1 กิโลเมตร มีทางแยกขวาที่บ้านทุ่งนาเมืองไปน้ำตกแสงจันทร์ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่มีความสวยงามและมีลักษณะพิเศษ เกิดจากลำห้วยเล็ก ๆ บนลานหินไหลลอดผ่านหน้าผาหินที่มีลักษณะเป็นรูลงสู่เพิงผาด้านล่าง หากเดินทางมาชมตอนช่วงเที่ยงวัน ซึ่งแสงอาทิตย์ลอดผ่านรูพอดีจะมองเห็นสายน้ำตกเหมือนแสงจันทร์
น้ำตกตาดโตน   อยู่ในท้องที่ตำบลคำเขื่อนแก้ว    อำเภอสิรินธร   เป็นน้ำตกขนาดเล็กเกิดจากลำห้วยหนองชาด  ซึ่งเป็นธารน้ำสาขาลำโดมน้อย อยู่ห่างจากถนนใหญ่ในเส้นทางสิรินธร - โขงเจียม เพียง 500 เมตร เป็นน้ำตกที่สวยงามสามารถลงเล่นน้ำได้ บริเวณโดยรอบเป็นป่าไม้ ฤดูที่น่าเที่ยวควรจะเป็นหลังฤดูฝน และฤดูหนาว
แก่งสะพือ เป็นแก่งที่อยู่ในแม่น้ำมูล  ในเขตอำเภอพิบูลมังสาหาร ห่างจากตัวจังหวัดอุบลราชธานี 45 กิโลเมตร เป็นแก่งที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี จะมีหินน้อยใหญ่สลับซับซ้อน กระแสน้ำไหลผ่านกระทบหิน  แล้วเกิดเป็นฟองขาว  มีเสียงดังตลอดเวลา  ช่วงเดือนมกราคม - พฤษภาคม   จะมีผู้นิยมไปเที่ยวกันมาก เพราะว่าน้ำจะลดทำให้เห็นแก่งได้ชัดเจนและสวยงาม ในช่วงสงกรานต์เทศบาลตำบลพิบูลมังสาหาร ก็ได้กำหนดจัดงานประเพณีสงกรานต์ที่แก่งสะพือ ซึ่งในงานนี้จะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมงานเป็นจำนวนมาก
แก่งสะพือ เป็นแก่งที่อยู่ในแม่น้ำมูล  ในเขตอำเภอพิบูลมังสาหาร ห่างจากตัวจังหวัดอุบลราชธานี 45 กิโลเมตร เป็นแก่งที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี จะมีหินน้อยใหญ่สลับซับซ้อน กระแสน้ำไหลผ่านกระทบหิน  แล้วเกิดเป็นฟองขาว  มีเสียงดังตลอดเวลา  ช่วงเดือนมกราคม - พฤษภาคม   จะมีผู้นิยมไปเที่ยวกันมาก เพราะว่าน้ำจะลดทำให้เห็นแก่งได้ชัดเจนและสวยงาม ในช่วงสงกรานต์เทศบาลตำบลพิบูลมังสาหาร ก็ได้กำหนดจัดงานประเพณีสงกรานต์ที่แก่งสะพือ ซึ่งในงานนี้จะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมงานเป็นจำนวนมาก
เขื่อนสิรินธร  เป็นเขื่อนเอนกประสงค์อีกแห่งหนึ่งของภาคอีสาน เขื่อนนี้จะสร้างกั้นลำโดมน้อย ในเขตอำเภอสิรินธร ชาวบ้านทั่วไปมักเรียกว่า  “เขื่อนโดมน้อย”  อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 74 กิโลเมตร สร้างเสร็จในปี  .. 2514    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน  ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ  พระราชทานนามว่า      “เขื่อนสิรินธร”  อำนวยประโยชน์ด้านชลประทาน  การประปา  การคมนาคมทางน้ำ และการผลิตกระแสไฟฟ้า  แล้วยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดภายในบริเวณเขื่อน  ได้มีการจัดสวนที่มีพันธุ์ดอกไม้นานาชนิด สำหรับให้เที่ยวชมเพื่อเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ
ช่องเม็ก    เป็นจุดผ่านแดนไทย - ลาว    ในเขตอำเภอสิรินธร   จังหวัดอุบลราชธานี     ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนจุดเดียวในภาคอีสานที่สามารถเดินทางไปประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว   โดยทางพื้นดินในขณะที่จุดอื่นจะต้องข้ามลำน้ำโขง      ช่องเม็กห่างจากจังหวัดอุบลราชธานี  ประมาณ  90  กิโลเมตร
อุทยานแห่งชาติภูจองนายอย                                วนอุทยานน้ำตกผาหลวง
แก่งจุการ                                                        ชมรมอนุรักษ์ม้าพันธุ์พื้นบ้านสิรินธร   
เขื่อนปากมูล                                                    สามเหลี่ยมมรกต
หาดคูเดื่อ                                                       ไดโนเสาร์ศรีเมืองใหม่
ผู้ก่อตั้งเมืองอุบลราชธานี
อนุสาวรีย์พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) ผู้ก่อตั้งเมืองอุบลราชธานี

พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) เป็นผู้ก่อตั้งเมืองอุบลราชธานี บุตรของพระเจ้าตาและนางบุศดี เกิดเมื่อปี พ.ศ 2252 ที่นครเวียงจันทร์ เสกสมรสกับเจ้านางตุ่ยธิดาอุปราช (ธรรมเทโว) อนุชา ของพระเจ้าองค์หลวง (ไชยกุมาร) เจ้านครจำปาศักดิ์ ได้รับแต่งตั้งเป็น พระประทุมสุรราช เมื่อปี พ.ศ. 2323 อันเป็นตำแหน่งนายกกองใหญ่คุมเลก (ไพร่) อยู่ที่บ้านดู่ บ้านแก ขึ้นกับนครจำปาศักดิ์ ปี พ.ศ. 2329 ได้ย้ายครอบครัวและไพร่พลจากบ้านดู่ บ้านแก มาตั้งบ้านเมืองใหม่ที่ตำบล ห้วยแจระแม โดยพระบรมราชาอนุญาตในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และตั้งชื่อ เมืองนี้ว่า "เมืองอุบล" จากการร่วมปราบกบฏอ้ายเชียงแก้วในปี พ.ศ. 2334 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งพระประทุมสุรราช (เจ้าคำผง) เป็นพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ และยกฐานะเมืองอุบลเป็น เมืองอุบลราชธานีศรีวนาไล ประเทศราช" เมื่อวันจันทร์ แรม 13 ค่ำ เดือน 8 จุลศักราช 1151 ตรงกับปี พ.ศ. 2335 พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ได้สร้างวัดหลวงเป็นวัดคู่เมืองขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำมูล ซึ่งถือเป็นวัดแรกของเจ้าเมืองอุบลราชธานีคนนี้ พ.ศ. 2338 พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ได้ถึงแก่พิราลัยเมื่อวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีเถาะ จุลศักราช1157 รวมอายุได้ 86 ปี อยู่ในตำแหน่งเจ้าเมืองอุบลราชธานี 3 ปี

ประวัติศาสตร์
เมื่อปีพุทธศักราช 2228 เกิด วิกฤติทางการเมืองในนครเชียงรุ้ง เพราะกลุ่มจีนฮ่อธงขาวยกกำลังปล้น เมืองเจ้านครเชียงรุ้งคือ เจ้าอินทกุมาร เจ้านางจันทกุมารี และเจ้าปางคำ ได้อพยพไพร่พลมาขอพึ่งบารมีพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช ของเวียงจันท์ จึงโปรดให้นำไพร่พลไปตั้งเมืองที่หนองบัวลุ่มภู (ปัจจุบันเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู) โดยตั้งชื่อเมืองว่า "นครเขื่อนขันธ์ กาบแก้วบัวบาน"
ต่อมาพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช ให้เจ้าปางคำเสกสมรสกับพระราชนัดดาได้โอรส คือ เจ้าพระตา เจ้าพระวอซึ่งมีความสำคัญต่อเมืองอุบลราชธานีอย่างยิ่ง เพราะต่อมา ปีพุทธศักราช 2314 เกิดสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างเวียงจันท์กับเมืองหนองบัวลุ่มภู โดยเจ้าสิริบุญสาร เจ้าแผ่นดินเวียงจันท์ ขอบุตรธิดาของเจ้าพระตา เจ้าพระวอ ไปเป็นนางห้ามและนางสนม แต่เจ้าพระตา เจ้าพระวอไม่ให้ เจ้าสิริบุญสาร จึงส่งกองทัพมาตีเมืองหนองบัวลุ่มภู เจ้าพระตา เจ้าพระวอ ยกกองทัพออกต่อสู้ และกองทัพเวียงจันท์ต้องพ่ายกลับไปหลายครั้ง
การรบระหว่างเวียงจันทร์กับเมืองหนองบัวลุ่มภู ต่อสู้กินเวลายาวนานถึง 3 ปี ไม่มีผลแพ้ชนะกัน เจ้าสิริบุญสารได้ส่งทูตไปขอกองทัพพม่าที่เมืองเชียงใหม่ ให้มาช่วยตีเมืองหนองบัวลุ่มภู โดยมีเงื่อนไขเวียงจันทร์ยอมเป็นเมืองขึ้นของพม่า กองทัพพม่าที่เมืองเชียงใหม่ จึงให้ม่องระแง คุมกองทัพมาช่วยเจ้าสิริบุญสารรบ เมื่อฝ่ายเจ้าพระตาทราบข่าวศึก คะเนคงเหลือกำลังที่จะต้านศึกกองทัพใหญ่กว่าไว้ได้ จึงให้เจ้าคำโส เจ้าคำขุย เจ้าก่ำ เจ้าคำสิงห์ พาไพร่พล คนชรา เด็ก ผู้หญิง พร้อมพระสงฆ์ อพยพมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อหาที่สร้างบ้านแปลงเมืองใหม่ไว้รอท่า หากแพ้สงครามจะได้อพยพติดตามมาอยู่ด้วย
โดย แรกได้มาตั้งเมืองที่บ้านสิงห์โคก บ้านสิงห์ท่า (ปัจจุบันคือจังหวัดยโสธร) และการสู้รบในครั้งสุดท้าย เจ้าพระตาถึงแก่ความตายในสนามรบ เจ้าพระวอผู้เป็นบุตรชายคนโต พร้อมด้วยพี่น้องคือ นางอูสา นางสีดา นางแสนสีชาด นางแพงแสน เจ้าคำผง เจ้าทิตพรหม และนางเหมือนตา ได้หลบหนีออกจากเมืองมารับเสบียงอาหารจากบ้านสิงห์โคก สิงห์ท่า แล้วผ่านลงไปตั้งเมืองที่ "ดอนมดแดง" พร้อมขอพึ่งพระเจ้าไชยกุมารองค์หลวง แห่งนครจำปาศักดิ์ ฝ่ายเจ้าสิริบุญสารทราบข่าวการตั้งเมืองใหม่ จึงให้อัคฮาดหำทอง และพญาสุโพ ยกกองทัพมาตีเจ้าพระวอสู้ไม่ได้ และเสียชีวิตในสนามรบ เจ้าคำผงผู้น้องจึงขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม พร้อมมีใบบอกลงไปที่เมืองนครราชสีมา และกรุงธนบุรี เพื่อขอพึ่งบารมีพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งให้ เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) และเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ยกกองทัพมาช่วยเจ้าคำผง ด้านพญาสุโพรู้ข่าวศึกของเจ้ากรุงธนบุรี จึงสั่งถอยทัพกลับเวียงจันท์ แต่เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ ได้เดินทัพติดตามทัพเวียงจันทร์ จนสามารถเข้ายึดเมืองได้สำเร็จ จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พร้อมคุมตัวเจ้าสิริบุญสารไปกรุงธนบุรี ส่วนเจ้าคำผงหลังเสร็จศึกได้กลับไปตั้งเมืองอยู่ที่ดอนมดแดงเหมือนเดิม กระทั่งปีพุทธศักราช 2319 เกิดน้ำท่วมใหญ่ เจ้าคำผงจึงอพยพไพร่พลไปอยู่ที่ดอนห้วยแจระแม (ปัจจุบัน คือบ้านท่าบ่อ) รอจนน้ำลด แล้วจึงหาทำเลที่ตั้งเมืองใหม่ที่ที่ตำบลบ้านร้าง เรียกว่า ดงอู่ผึ้งริมฝั่งแม่น้ำมูลอันเป็นที่ตั้งของจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน เมื่อปีพุทธศักราช 2320 พร้อมกับได้สร้างพระอารามหลวงขึ้นเป็นวัดแรก
ต่อมาปีพุทธศักราช 2322 พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาราชสุภาวดี เชิญท้องตราขึ้นมาตั้งเป็นเมืองอุบลราชธานี พร้อมให้เจ้าคำผงเป็นเจ้าเมืองในราชทินนาม "พระประทุมราชวงศา" เจ้าทิตพรหมเป็นพระอุปฮาด เจ้าก่ำเป็นราชวงศ์ เจ้าสุดตาเป็นราชบุตร โดยเป็นคณะอาญาสี่ชุดแรกของเมืองอุบลราชธานี จนถึงกาลเปลี่ยนแผ่นดินปีพุทธศักราช 2334 สมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เกิดขบถอ้ายเชียงแก้วเขาโอง ยกกำลังมาตีเมืองนครจำปาศักดิ์ เจ้าฝ่ายหน้าผู้น้องพระประทุมราชวงศาได้ยกกำลังไปรบ สามารถจับอ้ายเชียงแก้วได้ และทำการประหารชีวิตที่บริเวณแก่งตะนะ
ในปีถัดมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเมืองอุบลขึ้นเป็นเมืองประเทศราช แต่งตั้งให้พระประทุมราชวงศาเป็นพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (คำผง) เจ้าครองเมือง "เมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช" พระราชทานพระสุพรรณบัตร และเครื่องยศเจ้าเมืองประเทศราช พร้อมทำพิธีสบถสาบานถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เมื่อวันจันทร์ เดือน 8 แรม 13 ค่ำ จุลศักราช 1154 ปีชวด จัตวาศก ตรงกับวันที่ 16 กรกฎาคม 2335 โดยเป็นเจ้าเมืองคนแรกของอุบลราชธานี ถึงปี 2338 พระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (ทิตพรหม) น้อง ชายพระประทุม จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองอุบลราชธานีคนต่อมา รวมมีเจ้าเมืองอุบลราชธานี ที่พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งทั้งสิ้น 4 ท่าน
ภายหลังการก่อตั้งเมืองอุบลฯ แล้ว ก็ได้มีการตั้งเมืองสำคัญในเขตปกครองของจังหวัดอุบลราชธานีขึ้นอีกหลายเมือง เช่น ใน พ.ศ. 2357 โปรดฯให้ตั้งบ้านโคกพเนียง เป็นเมืองเขมราฐธานี
ปี พ.ศ. 2366 ยกบ้านนาก่อขึ้นเป็นเมืองโขงเจียง (โขงเจียม) โดยขึ้นกับนครจำปาศักดิ์
ปี พ.ศ. 2388 ในรัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกบ้านช่องนางให้เป็นเมืองเสนางคนิคม ยกบ้านน้ำโดมใหญ่ขึ้นเป็นเมืองเดชอุดม ให้หลวงอภัยเป็นหลวงยกบัตรหลวงมหาดไทยเป็นหลวงปลัด ตั้งหลวงธิเบศร์เป็นพระศรีสุระ เป็นเจ้าเมือง รักษาราชการแขวงเมืองเดชอุดม
ปี พ.ศ. 2390 ตั้งบ้านดงกระชุหรือบ้านไร่ ขึ้นเป็นเมืองบัวกัน ต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็นเมืองบัวบุณฑริก หรืออำเภอบุณฑริกในปัจจุบัน
ปี พ.ศ. 2401 ตั้งบ้านค้อใหญ่ ให้เป็นเมือง ขอตั้งท้าวจันทบรม เป็นพระอมรอำนาจ เป็นเจ้าเมือง ตั้งท้าวบุตตะเป็นอุปฮาด ให้ท้าวสิงหราชเป็นราชวงศ์ ท้าวสุริโยเป็นราชบุตร รักษาราชการเมืองอำนาจเจริญขึ้นกับเมืองเขมราฐ
ปี พ.ศ. 2406 ในรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านกว้างลำชะโด ตำบลปากมูล เป็นเมืองพิบูลมังสาหารและให้ตั้งบ้านสะพือ เป็นเมืองตระการพืชผล ตั้งท้าวสุริยวงษ์ เป็นพระอมรดลใจ เป็นเจ้าเมือง
ปี พ.ศ. 2422 ในรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านท่ายักขุเป็นเมืองชานุมานมณฑล และให้ตั้งบ้านเผลา (บ้านพระเหลา) เป็นเมืองพนานิคม
ปี พ.ศ. 2423 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านนากอนจอ เป็นเมืองวารินชำราบ
ปี พ.ศ. 2424 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านจันลานาโดม เป็นเมืองโดมประดิษฐ์ (ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านที่อำเภอน้ำยืน)
ปี พ.ศ. 2425 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านทีเป็นเมืองเกษมสีมา ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นอำเภอม่วงสามสิบนั่นเอง
อุบลราชธานี จึงเป็นเมืองที่มีเขตการปกครองอย่างกว้างขวางที่สุด ทางด้านตะวันออกของภาคอีสานตอนล่างครอบคลุมที่ราบและแม่น้ำสายสำคัญของภาค อีสานถึง 3 สายด้วยกัน คือ แม่น้ำชี แม่น้ำมูล และแม่น้ำโขง อีกทั้งยังมีแม่น้ำสายเล็กๆที่มีกำเนิดจากเทือกเขาในพื้นที่ เช่น ลำเซบก ลำเซบาย ลำโดมใหญ่ เป็นต้น
แม่น้ำทั้งหลายเหล่านี้ไหลผ่านที่ราบทางด้านเหนือและทางด้านใต้ทอด เป็นแนวยาวสู่ปากแม่น่ำมูลและแม่น้ำโขง ยังความอุดมสมบูรณ์ให้แก่พื้นที่ในบริเวณแถบนี้ทั้งหมด ทำให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์มาแต่ โบราณกาล [3]
ในปี พ.ศ. 2476 ได้มีการยกเลิกมณฑลทั้งประเทศ จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งแยกออกมาจากมณฑลนครราชสีมาในขณะนั้น ได้กลายเป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หลังจากนั้นจังหวัดอุบลราชธานีก็ได้ถูกแบ่งออก โดยอำเภอยโสธรและอำเภอใกล้เคียงเป็นจังหวัดยโสธร ในปี พ.ศ. 2515 และต่อมาปี 2536 ได้ถูกแบ่งอีกครั้ง โดยอำเภออำนาจเจริญและอำเภอใกล้เคียงเป็นจังหวัดอำนาจเจริญ ปัจจุบันจังหวัดอุบลราชธานีมีพื้นที่เป็นอันดับ 5 ของไทย และมีประชากรลำดับที่ 3 ของประเทศ

ลักษณะภูมิอากาศและอุตุนิยมวิทยา
จังหวัดอุบลราชธานี อยู่ในเขตที่มีปริมาณน้ำฝนค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยของจังหวัดอื่น ๆ
ฤดูฝน จะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเรื่อยไปจนถึงปลายเดือนตุลาคม และมักปรากฏเสมอว่าฝนทิ้งช่วงในเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม แต่ระยะเวลาการทิ้งช่วงมักจะไม่เหมือนกันในแต่ละปี และในช่วงปลายฤดูฝน มักจะมีพายุดีเปรสชั่นฝนตกชุกบางปีอาจมีภาวะ น้ำท่วมแต่ภาวการณ์ไม่รุนแรงนัก
ฤดูหนาว เนื่องจากเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของประเทศ ทำให้ได้รับอิทธิพลลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือก่อนภูมิภาคอื่น อุณหภูมิจะเริ่มลดต่ำลงตั้งแต่เดือนตุลาคมและจะสิ้นสุดปลายเดือนมกราคม
ฤดูร้อน ถึงแม้ว่าเคยปรากฏบ่อยครั้งว่าอากาศยังคงหนาวเย็นยืดเยื้อมาจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ โดยส่วนใหญ่แล้วอากาศจะ เริ่มอบอ้าว ในเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงประมาณต้นเดือนพฤษภาคมซึ่งอาจจะมีฝน เริ่มตกอยู่บ้างในปลายเดือนเมษายน แต่ปริมาณน้ำฝนมักจะไม่เพียงพอสำหรับการเพาะปลูก นอกจากนั้นลักษณะภูมิอากาศทั่วไปคล้ายคลึงกับจังหวัดอื่น ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ จะมีอากาศร้อน ในฤดูหนาวค่อนข้างหนาว ส่วนในฤดูฝนจะมีฝนตกชุก ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2541 มีฝนตกประมาณ 106 วัน ปริมาณน้ำฝนวัดได้ 1,297.3 มิลลิเมตร

ทรัพยากรโดยสังเขป
ทรัพยากร ดิน จ.อุบลราชธานี เป็นจังหวัดที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่และมีประชากรมาก ดินเป็นทรัพยากรคิด เป็นร้อยละ 86.6 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด หรือประมาณ 10,299,063 ไร่ ด้านป่าไม้มีทั้งป่าเต็งรัง หรือป่าแดงมีอยู่ทั่วไป มีเขตป่าดงดิบในเขตอำเภอน้ำยืน และป่าผสม ส่วนป่าเบญจพรรณมีอยู่ในอำเภอเขมราฐ อำเภอบุณฑริก และอำเภอพิบูลมังสาหาร ไม้ส่วนใหญ่เป็นไม้กระยาเลย ได้แก่ ไม้ยาง ไม้ตระแบก ไม้แดง ไม้ประดู่ ไม้เคี่ยม ไม้ชุมแพรก ไม้กันเกรา สภาพพื้นที่ป่าไม้จากการสำรวจเมื่อปี 2538 มีเนื้อป่าประมาณ 2,495 ตร.กม. หรือประมาณ 1.56 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 15.49 ของเนื้อที่ทั้งหมดของจังหวัดอุบลราชธานี สำหรับพื้นที่ป่าไม้ของจังหวัดอุบลราชธานี แบ่งได้ดังนี้ ป่าถาวร ตามมติ ครม.จำนวน 1 ป่า เนื้อที่ 77,312.50 ไร่ ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 46 ป่า เนื้อที่ 3,396,009.163 ไร่ พื้นที่ป่า สปก. จำนวน 40 ป่า เนื้อที่ 1,665,543.30 ไร่ ป่าอนุรักษ์ ตาม มติ ครม. จำนวน 10 ป่า เนื้อที่ 1,439,998.402 ไร่ ป่าอนุรักษ์ตามกฎหมาย จำนวน 5 ป่า เนื้อที่ 880,220.00 ไร่ สวนป่า จำนวน 15 ป่า เนื้อที่ 20,985.73 ไร่ พื้นที่ป่าธรรมชาติ (รวม จ.อำนาจเจริญ) เนื้อที่ 24,292,656 ไร่
แร่ธาตุ จากการสำรวจของกรมทรัพยากรธรณี พบว่า จังหวัดอุบลราชธานีมีแร่อโลหะเพียงชนิดเดียว คือ เกลือหิน ซึ่งเจาะพบแล้ว 2 แห่งคือ อำเภอเมืองอุบลราชธานีและอำเภอตระการพืชผล นอกจากนี้ มีทรัพยากรแร่ที่อยู่ในรูปของหินชนิดต่าง ๆ อีกมากมาย สำหรับแหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญคือ แม่น้ำโขง แม่น้ำมูล แม่น้ำชี ลำเซบก ลำเซบาย ลำโดมใหญ่ ลำโดมน้อย
หน่วยการปกครอง
การปกครองส่วนภูมิภาค
จังหวัดอุบลราชธานีแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 25 อำเภอ 219 ตำบล 2469 หมู่บ้าน
หมายเลข 6 13 16 17 18 23 27 และ 28 คือ 8 อำเภอที่แยกออกมาตั้งเป็นจังหวัดอำนาจเจริญ
1.อำเภอเมืองอุบลราชธานี                                               2.อำเภอศรีเมืองใหม่
3.อำเภอโขงเจียม                                                            4.อำเภอเขื่องใน
5.อำเภอเขมราฐ                                                              7.อำเภอเดชอุดม
8.อำเภอนาจะหลวย                                                        9.อำเภอน้ำยืน
10.อำเภอบุณฑริก                                                          11.อำเภอตระการพืชผล
12.อำเภอกุดข้าวปุ้น                                                        14.อำเภอม่วงสามสิบ
15.อำเภอวารินชำราบ                                                      19.อำเภอพิบูลมังสาหาร
20.อำเภอตาลสุม                                                           21.อำเภอโพธิ์ไทร
22.อำเภอสำโรง                                                              24.อำเภอดอนมดแดง
25.อำเภอสิรินธร                                                             26.อำเภอทุ่งศรีอุดม
29.อำเภอนาเยีย                                                             30.อำเภอนาตาล
31.อำเภอเหล่าเสือโก้ก                                                    32.อำเภอสว่างวีระวงศ์
33.อำเภอน้ำขุ่น
            การปกครองส่วนท้องถิ่น
มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด 239 องค์กรแบ่งออกเป็น 1 เทศบาลนคร 4 เทศบาลเมือง 39 เทศบาลตำบล 1 องค์การบริหารส่วนจังหวัด และ 194 องค์การบริหารส่วนตำบล โดยมีรายชื่อเทศบาลดังนี้
อำเภอเมือง
เทศบาลนครอุบลราชธานี
เทศบาลเมืองแจระแม
เทศบาลตำบลอุบล
เทศบาลตำบลขามใหญ่
เทศบาลตำบลปทุม
อำเภอพิบูลมังสาหาร
เทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร
เทศบาลตำบลอ่างศิลา
เทศบาลตำบลกุดชมภู
อำเภอวารินชำราบ
เทศบาลเมืองวารินชำราบ
เทศบาลตำบลห้วยขะยุง
เทศบาลตำบลแสนสุข
เทศบาลตำบลคำน้ำแซบ
เทศบาลตำบลคำขวาง
เทศบาลตำบลเมืองศรีไค
อำเภอเดชอุดม
เทศบาลเมืองเดชอุดม
เทศบาลตำบลนาส่วง
เทศบาลตำบลบัวงาม
เทศบาลตำบลกุดประทาย
เทศบาลตำบลโพนงาม
อำเภอศรีเมืองใหม่
เทศบาลตำบลศรีเมืองใหม่
อำเภอโขงเจียม
เทศบาลตำบลบ้านด่าน
อำเภอเขื่องใน
เทศบาลตำบลเขื่องใน
เทศบาลตำบลบ้านกอก
อำเภอเขมราฐ
เทศบาลตำบลเขมราฐ
เทศบาลตำบลเทพวงศา
เทศบาลตำบลขามป้อม
เทศบาลตำบลหนองผือ
เทศบาลตำบลหัวนา
อำเภอนาจะหลวย
เทศบาลตำบลนาจะหลวย
อำเภอน้ำยืน
เทศบาลตำบลน้ำยืน
อำเภอบุณฑริก
เทศบาลตำบลบุณฑริก
เทศบาลตำบลคอแลน
เทศบาลตำบลนาโพธิ์
อำเภอตระการพืชผล
เทศบาลตำบลตระการพืชผล
อำเภอกุดข้าวปุ้น
เทศบาลตำบลกุดข้าวปุ้น
อำเภอม่วงสามสิบ
เทศบาลตำบลม่วงสามสิบ
อำเภอตาลสุม
เทศบาลตำบลตาลสุม
อำเภอโพธิ์ไทร
เทศบาลตำบลโพธิ์ไทร
อำเภอสิรินธร
เทศบาลตำบลช่องเม็ก
เทศบาลตำบลนิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย
อำเภอนาเยีย
เทศบาลตำบลนาเยีย
อำเภอเหล่าเสือโก้ก
เทศบาลตำบลเหล่าเสือโก้ก
อำเภอสว่างวีระวงศ์
เทศบาลตำบลท่าช้าง
อำเภอน้ำขุ่น
เทศบาลตำบลขี้เหล็ก
การคมนาคม
รถยนต์
ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ไปสระบุรี เลี้ยวเข้าทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 24 (สายโชคชัย-เดชอุดม) ไปจนถึงอุบลราชธานี หรือใช้ เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา แล้วต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 226 ผ่านบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และเข้าสู่จังหวัดอุบลราชธานี
รถไฟ
มีรถด่วน รถเร็ว และรถไฟปรับอากาศด่วนพิเศษทุกวัน จากกรุงเทพฯ ผ่านจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ สุดปลายทางที่อำเภอวารินชำราบ โดยจังหวัดอุบลราชธานี มีสถานีย่อย 2 แห่ง คือ สถานีบุ่งหวาย และสถานีห้วยขะยุง
เวลาเดินรถไฟ ประกอบด้วย
เที่ยวขึ้นจากสถานีต้นทางกรุงเทพฯ เริ่มต้นที่เวลา 05.45 ถึง 23.40 น.
เที่ยวล่องจากสถานีรถไฟวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เริ่มต้นที่เวลา 07.00 ถึง 19.30 น.
รถโดยสารประจำทาง
มีทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ ออกจากสถานีขนส่งสายตะวันออกเฉียงเหนือ (หมอชิตใหม่) นอกจากนี้ บริษัทขนส่งยังมีบริการรถโดยสารระหว่างอุบลราชธานีและเมืองปากเซ สปป.ลาวทุกวัน
นอกจากนี้ยังมีรถประจำทางระหว่างจังหวัดที่เดินรถระหว่างอุบลราชธานีไปถึง ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา ชลบุรี ระยอง เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พิษณุโลก อุดรธานี ขอนแก่น หนองคาย มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ มุกดาหาร นครพนม ชัยภูมิ สกลนคร ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) และภูเก็ต
กรมการขนส่งทางบกได้ออกประกาศถึงการเปิดเดินรถสายอุบลราชธานี -เกาะสมุย เพื่อเชื่อมเมืองท่องเที่ยวสำคัญของภูมิภาคในอนาคต และอีกในอนาคตข้างหน้า กรมการขนส่งทางบกอาจจะได้ออกประกาศถึงการเปิดเดินรถสายสายเหนืออีก 1 เส้นทาง รถสายอุบลราชธานี - แม่สาย (เชียงราย) ขึ้นกับบริษัทนครชัยแอร์ เพื่อเชื่อมเมืองท่องเที่ยวสำคัญของภูมิภาคในอนาคต
และนอกจากนี้กรมการขนส่งทางบกกำลังจะเปิดเดินรถสายระหว่างประเทศคือ สายอุบลราชธานี-จำปาสัก อุบลราชธานี-คอนพะเพง และ อุบลราชธานี-เสียมราฐ อีกด้วย
อากาศยาน
จังหวัดอุบลราชธานี มีสนามบินนานาชาติ 1 แห่ง ซึ่งมีสายการบินของบริษัทต่างๆ คือ
การบินไทย (ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ)
ไทยแอร์เอเชีย (ท่าอากาศยานดอนเมือง)
นกแอร์ (ท่าอากาศยานดอนเมือง)
ไป - กลับ จาก กรุงเทพมหานคร - อุบลราชธานี และเชียงใหม่ - อุบลราชธานี ซึ่งเดินทางออกจากทั้ง ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ มายังท่าอากาศยานอุบลราชธานี ให้บริการเป็นประจำทุกวัน
รถเช่า
บัดเจ็ท รถเช่า สาขาท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานี และนอกจากนี้ก็มีการบริการด้วยรถสามล้อ รถสามล้อเครื่อง (รถตุ๊กตุ๊ก) รถแท็กซี่มิเตอร์ และรถมอเตอร์ไซต์รับจ้าง ที่ให้การบริการ ณ จุดที่สำคัญ เช่น หน้าโรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์ หน้าตลาดสดเทศบาล 3 (ตลาดใหญ่) หน้าสถานีรถไฟอุบลราชธานี สถานีขนส่งผู้โดยสาร เป็นต้น
รถเมล์หรือรถสองแถวประจำทาง
มีการบริการด้วยรถสองแถวประจำทางที่ให้การบริการในเขตเมืองอุบลราชธานีและเขตวารินชำราบ มีดังต่อไปนี้
สายที่ 1 บ้านธาตุ - สามแยกเข้าหมู่บ้านหนองแก
สายที่ 2 สถานีรถไฟอุบลราชธานี - โรงเรียนศรีปทุมพิทยาคาร
สายที่ 3 บ้านก่อ - โรงเรียนเทคโนโลยีและเกษตรกรรมอุบลราชธานี
สายที่ 4 เรือนจำกลางอุบลราชธานี - โรงเรียนบ้านกุดลาด (ปัจจุบันยกเลิกเส้นทาง)
สายที 6 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ - การประปา
สายที่ 7 ศาลปู่เจ้าคำจันทร์ - วัดพุทธนิคมกิติยาราม
สายที่ 8 บ้านปลาดุก - สถานีโทรคมนาคมอุบลราชธานี
สายที่ 9 ตลาดสดวารินชำราบ - หาดคูเดื่อ
สายที่ 10 ศาลาบ้านดู่ - ศูนย์อพยพ
สายที่ 11 บ้านบุ่งกาแซว - บ้านด้ามพร้า
สายที่ 12 สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ - บ้านดง
สายที่ 13 วงเวียนบ้านท่าข้องเหล็ก - โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ - ขนส่งอุบลราชธานี (ปัจจุบันยกเลิกเส้นทาง)
สายที่ 14 (ขึ้นต้นด้วยอักษร ม.) มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี – ขนส่งอุบลราชธานี

ประชากร
สถิติประชากรตามทะเบียนราษฎร จังหวัดอุบลราชธานี
ปี (พ.ศ.)            ประชากร
2549                1,728,529
2550                1,785,709
2551                1,795,453
2552                1,803,754
2553                1,813,088
2554                1,816,057
2555                1,826,920

ทำเนียบรายนามผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี
1.พระปทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง)พ.ศ. 2325-2338      
2.พระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าทิดพรหม) พ.ศ. 2338-2388
3.เจ้าราชบุตรสุ้ย ถึงแก่อนิจกรรมที่กรุงเทพฯ ก่อนมาดำรงตำแหน่ง    
4.พระพรหมราชวงศา (กุทอง สุวรรณกูฏ)   พ.ศ. 2388-2409
5.เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ (เจ้าหน่อคำ)            พ.ศ. 2409-2425          
6.หลวงจินดารัตน์           พ.ศ. 2425-2426
7พระยาศรีสิงหเทพ (ทัด ไกรฤกษ์)            พ.ศ. 2426-2430          
8.พระยาภักดีณรงค์ (สิน ไกรฤกษ์)            ไม่ทราบข้อมูล
9.พระโยธีบริรักษ์ (เคลือบ ไกรฤกษ์)           ไม่ทราบข้อมูล   
10.พระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) ไม่ทราบข้อมูล
11.พระอุบลการประชานิตย์ (บุญชู พรหมวงศานนท์)           ไม่ทราบข้อมูล   
12.หม่อมอมรวงศ์วิจิตร (ม.ร.ว.ปฐม คเนจร)           ไม่ทราบข้อมูล
13.อำมาตย์เอกพระภิรมย์ราชา (พร้อม วาจรัต)       พ.ศ. 2456-2458          
14.อำมาตย์เอกพระยาปทุมเทพภักดี (อ่วม บุณยรัตพันธุ์)     พ.ศ. 2458-2465
15.อำมาตย์โทพระยาปทุมเทพภักดี (ธน ณ สงขลา)            พ.ศ. 2465-2469          
16.อำมาตย์เอกพระยาตรังคภูมาภิบาล (เจิม ปันยารชุน)      พ.ศ. 2469-2471
17.อำมาตย์โทพระยาสิงหบุทนุรักษ์ (สวาสดิ์ บุรณสมภพ)    พ.ศ. 2471-2473          
18.อำมาตย์โทพระยาประชาศรัยสรเดช (ถาบ ผลนิวาส)       พ.ศ. 2473-2476
19.พ.ต.อ.พระขจัดทารุณกรรม (เงิน หนุนภักดี)      พ.ศ. 2476-2478          
20.อำมาตย์เอกพระปทุมเทวาภิบาล (เยี่ยม เอกสิทธิ์)           พ.ศ. 2478-2481
20.อำมาตย์เอกพระยาอนุบาลพายัพกิจ (ปุ่น อาสนจินดา)    พ.ศ. 2481-2481
21.อำมาตย์เอกพระพรหมนครานุรักษ์ (ฮกไถ่ พิศาลบุตร)     พ.ศ. 2481-2482          
22.อำมาตย์โทพระยาอนุมานสารกรรม (โต่ง สารักคานนท์)   พ.ศ. 2482-2483
23.พ.ต.อ.พระกล้ากลางสมร (มงคล หงษ์ไกร)       พ.ศ. 2483-2484          
24.หลวงนครคุณูปถัมภ์ (หยวก ไพโรจน์)    พ.ศ. 2484-2487
25.หลวงนรัตถรักษา (ชื่น นรัตถรักษา)       พ.ศ. 2487-2489          
26.นายเชื้อ พิทักษากร     พ.ศ. 2489-2490
27.หลวงอรรถสิทธิ์สิทธิสุนทร (อรรถสิทธิ์ สิทธิสุนทร)          พ.ศ. 2490-2492          
28.นายชอบ ชัยประภา    พ.ศ. 2492-2494
29.นายยุทธ จัณยานนท์  พ.ศ. 2494-2495          
30.นายสง่า สุขรัตน์        พ.ศ. 2495-2497
31.นายเกียรติ ธนกุล       พ.ศ. 2497-2498
32.นายสนิท วิไลจิตต์      พ.ศ. 2498-2499
33.นายประสงค์ อิศรภักดี            พ.ศ. 2499-2501          
34.นายกำจัด ผาติสุวัณณ์           พ.ศ. 2501-2509
35.นายพัฒน์ บุณยรัตพันธุ์          พ.ศ. 2509-2513          
36.พลตำรวจตรีวิเชียร ศรีมันตร    พ.ศ. 2513-2516
37.นายเจริญ ปานทอง    พ.ศ. 2516-2518          
38.นายเดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์    พ.ศ. 2519-2520
39.นายประมูล จันทรจำนง          พ.ศ. 2520-2522          
40.นายบุญช่วย ศรีสารคาม         พ.ศ. 2522-2526
41.นายเจริญสุข ศิลาพันธุ์           พ.ศ. 2526-2528          
42.เรือตรีดนัย เกตุสิริ      พ.ศ. 2528-2532
43.นายสายสิทธิ พรแก้ว  พ.ศ. 2532-2535          
44.นายไมตรี ไนยกูล       พ.ศ. 2535-2537
45.นายนิธิศักดิ์ ราชพิธ    พ.ศ. 2537-2538          
46.ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.ยุวัฒน์ วุฒิเมธี          พ.ศ. 2538-2540
47.นายชาติสง่า โมฬีชาติ            พ.ศ. 2540-2541          
48.นายศิวะ แสงมณี       พ.ศ. 2541-2543
49.นายรุ่งฤทธิ์ มกรพงศ์  พ.ศ. 2543-2544          
50.นายชัยสิทธิ์ โหตระกิตย์          พ.ศ. 2544-2546
51.นายจิรศักดิ์ เกษณียบุตร         พ.ศ. 2546-2548          
52.นายสุธี มากบุญ        พ.ศ. 2548-2550
53.นายชวน ศิรินันท์พร    พ.ศ. 2550-2553          
54.นายวิชิต ชาตไพสิฐ (ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง รักษาราชการแทน)            พ.ศ. 2553
55.นายสุรพล สายพันธุ์   พ.ศ. 2553-2555          
56.นายวันชัย สุทธิวรชัย  พ.ศ. 2555-ปัจจุบัน

บุคคลที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอุบลราชธานี
จังหวัดอุบลราชธานีได้ก่อตั้งมาเป็นเวลากว่า 200 ปี บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งในด้านการเมือง การปกครอง การทหาร การศึกษา การศาสนา และศิลปวัฒนธรรมสืบทอดมา จนถึงปัจจุบันก็เพราะบุคคลในท้องถิ่นให้ความร่วมมือในการสร้างความเจริญ ให้กับบ้านเมือง ในการพัฒนาในแต่ละด้านนั้นได้มีบุคคลที่มีบทบาทเด่นชัดในด้านนั้น ๆ เป็นปัจจัยหลัก ซึ่งบุคคลเหล่านี้ได้สร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า สั่งสมชื่อเสียงเกียรติคุณให้กับจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งควรแก่การภูมิใจและควรค่าแก่การศึกษาผลงานของท่านเพื่อนำไปเป็นแบบอย่างเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ในการพัฒนาจังหวัดอุบลราชธานี ให้เจริญรุดหน้าไป และจนได้ชื่อว่าเป็น "ดินแดนแห่งนักปราชญ์" ที่ได้รับการขนานนานมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 โดยมีบุคคลสำคัญที่สร้าง คุณประโยชน์แก่ประเทศชาติเป็นจำนวนมาก ดังนี้
พระสงฆ์
พระอริยาจารย์ (สุ้ย)
ท่านเทวธมฺมี (ม้าว)
พระครูวิโรจน์รัตโนบล (บุญรอด นนฺตโร)
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) สังฆนายกรูปแรกแห่งประเทศไทย ตามประกาศตั้งสังฆนายก ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2485 , ประธานคณะวินัยธร ชั้นฎีกาตาม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2484
พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล
พระอาจารย์ขาว อนาลโย
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
หลวงปู่ทา นาควัณโณ
นักปกครอง
พระประทุมวรราชสุริยวงศ์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
ร้อยตรีไมตรี ไนยกูล
เรือตรีสุนัย ณ อุบล
นายสุพร ศุภสร
นายนิธิศักดิ์ ราชพิตร
นักการเมือง
ทองอินทร์ ภูริพัฒน์
เลียง ไชยกาล
ฟอง สิทธิธรรม
อรพินท์ ไชยกาล - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหญิงคนแรกของประเทศไทย
ทิม ภูริพัฒน์
สุทัศน์ เงินหมื่น
เพ็ญพักตร์ ศรีทอง
สมบัติ รัตโน
พล.ต.อ. ชิดชัย วรรณสถิตย์ - อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
วิฑูรย์ นามบุตร - อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
อิสสระ สมชัย - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความั่นคงของมนุษย์ ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ - อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา
สุพล ฟองงาม - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2)
สิทธิชัย โควสุรัตน์ - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.3)
ชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ - อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
พรชัย โควสุรัตน์ - นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี
นักสังคมสงเคราะห์
หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา
นายเดช ถิรวัฒน์
ท่านผู้หญิงตุ่น โกศัลวิตร
นายวิระ รมยะรูป
นางอุดม ไทยมงคล
นายกมล เจริญศรี
นักสาธารณสุข
นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว
นายแพทย์อุทัย สุดสุข
นายแพทย์วิฑูร แสงสิงแก้ว
นายแพทย์ไพโรจน์ นิงสานนท์
นายแพทย์ไพจิตร ปวะบุตร
นักร้อง/นักดนตรี
นักการศึกษา นักศิลปวัฒนธรรม และศิลปิน
ดร.ปรีชา พิณทอง
นายคำหมา แสงงาม - ศิลปินแห่งชาติ สาขา ทัศนศิลป์ (การปั้นแกะสลัก) พ.ศ. 2529
นายบำเพ็ญ ณ อุบล
นายสมชัย กตัญญูตานันท์ (ชัย ราชวัตร)
นายทองใส ทับถนน - ศิลปินครูพิณเมืองอุบลราชธานี
นายทองมาก จันทะลือ (หมอลำถูทา) - ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2529 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอุบลราชธานี 1 สมัย
หมอลำเคน ดาเหลา (เคนฮุด) - ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2534
ฉวีวรรณ ดำเนิน (ได้รับการยกย่องให้เป็น ราชินีหมอลำ) - ศิลปินแห่งชาติ สาขา ศิลปะการแสดง (หมอลำ) พ.ศ. 2536
นางบุญเพ็ง ไฝผิวชัย - ศิลปินแห่งชาติ สาขา ศิลปะการแสดง (หมอลำ) พ.ศ. 2540
นางคำปุ่น ฟุ้งสุข - หมอลำหญิงอาวุโสชื่อดัง
นายทองคำ เพ็งดี (ฉายา นกกาเหว่า) - หมอลำชายชื่อดัง
นายสมาน หงษา - หมอลำชื่อดัง คณะเพชรเสียงทอง
นายณรงค์ พงษ์ภาพ (นพดล ดวงพร) - คณะเพชรพิณทอง
นายมนัส สุขสาย
พงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา พลังศิลป์ถิ่นนักปราชญ์ - สร้างภาพยนตร์ กำกับภาพยนตร์ อ.ศรีเมืองใหม่
นายสลา คุณวุฒิ - นักแต่งเพลงชื่อดัง
นางบานเย็น รากแก่น - หมอลำหญิงชื่อดัง และได้รับการขนานนามว่า "ราชินีหมอลำ"
ป.ฉลาดน้อย (ฉลาด ส่งเสริม) - หมอลำชื่อดังและศิลปินแห่งชาติ สาขา ศิลปะการแสดง (หมอลำ) พ.ศ. 2548
อังคนางค์ คุณไชย - หมอลำชื่อดัง เจ้าของผลงาน เพลงสาวอุบลรอรัก อีสานลำเพลิน และศิลปินพื้นบ้าน สาขา ศิลปะการแสดง
สุรสีห์ ผาธรรม - ผู้กำกับภาพยนตร์
วิเศษ เวณิกา - ศิลปินนักร้อง
นคร พงษ์ภาพ - นักแต่งเพลงอาวุโส
รจนา เพชรกัณหา - นางแบบโฆษณา
ชรัมย์ เทพชัย - ศิลปินนักร้อง ได้รับรางวัลเสาอากาศทองคำพระราชทาน ในปี พ.ศ. 2519 จากบทเพลง "รักเหมือนเหล็กไหล"
นายรักพงษ์ คำพีระ - เยาวชนดีเด่นแห่งชาติ สาขา คุณธรรมและจริยธรรม - นักศึกษารางวัลพระราชทาน
กิตติศักดิ์ โคตรคำ - ศิลปินมือกลองวงโลโซ
พีรฉัตร จิตรมาส - ศิลปินนักร้องวง Subtention
คำพูน บุญทวี - ศิลปินแห่งชาติ ผู้แต่งหนังสือ "ลูกอีสาน"
เบิร์ด เอกชัย เจียรกุล คว้าแชมป์นักกีตาร์คลาสสิคดีกรีระดับนานาชาติ ระดับโลกคนแรกของไทย
เพลงลูกกรุง, ลูกทุ่ง และ เพื่อชีวิต
ต่าย อรทัย (นางสาวอรทัย ดาบคำ) - นักร้องค่าย จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (แกรมมี่โกลด์)
เอกพล มนต์ตระการ - นักร้องค่าย จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (แกรมมี่โกลด์)
เทพพร เพชรอุบล ศิลปินนักร้องและนักประพันธ์เพลงลูกทุ่ง หมอลำ
ดอกอ้อ ทุ่งทอง (นางสาวบุปผา บุญมี) - นักร้องค่าย จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (แกรมมี่โกลด์)
ก้านตอง ทุ่งเงิน (นางสาวพิยะดา บุญมี) - นักร้องค่าย จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (แกรมมี่โกลด์)
จั๊กจั่น วันวิสา (นางสาวสุดา บุญมานัด) - นักร้องค่าย จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (แกรมมี่โกลด์)
บุญตา เมืองใหม่ - นักร้องค่ายชัวร์ ออดิโอ มีชื่อเสียงจากบทเพลง "คนดีที่อ้ายบ่ฮัก" อ.ศรีเมืองใหม่
มด อุบลมณี - นักร้องค่าย จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (แกรมมี่โกลด์)
สนธิ สมมาตร - ศิลปินนักร้อง
ศักดา คำพิมูล - ศิลปินนักร้องค่ายชัวร์ออดิโอ
หงษ์ทอง หงษา - นักร้องหมอลำซิ่ง ค่ายท็อปไลน์ มิวซิค จำกัด
เฉลิมพล มาลาคำ - นักร้องหมอลำซิ่ง ค่ายท็อปไลน์ มิวซิค จำกัด
ศักดิ์ศรี ศรีอักษร - ศิลปินนักร้องผู้ขับร้องเพลง"ผู้ใหญ่ลี"
บอย เขมราฐ - ศิลปินนักร้องค่ายชัวร์ ออดิโอ
อั้ม นันทิยา (นางสาวนันทิยา ศรีอุบล)- นักแสดง ศิลปินนักร้องสังกัดค่ายชัวร์ออดิโอ
แมน มณีวรรณ - ศิลปินนักร้อง อาร์ สยาม
เล็ก รุ่งนภา สุหงษา นักร้อง นักแสดง พิธีกร สังกัดค่ายอาร์ สยาม
ใหญ่ รุ่งราตรี สุหงษา นักร้อง นักแสดง พิธีกร สังกัดค่ายอาร์ สยาม

เพลงไทยสากล
ปวีณ์สุดา จันทร์เกษ (เมย์ The Star 4) - ศิลปินจากเวที The Star 4 ปัจจุบัน เป็นนักแสดงและพิธีกรทางช่อง Act Channel
ธัญนันท์ ทองศีรธนพงษ์ (ปลาทอง KPN) - ศิลปินจากเวที KPN AWARD 2010
วิรังรอง อุดมศิลป์ (ปุ๊กกี้ KPN) - ผู้เข้าประกวดรายการ KPN AWARD 20th
ดวงฤทัย สุวรรณกูฏ (มายด์ Mic Idol 3) - ศิลปินจากเวที Mic Idol 3
พิมพ์วลัญช์ ศรีเมือง (ใบหม่อน True AF9) - นักล่าฝัน จากรายการ ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซั่นที่ 9
อภิมงคล คูณทาการ (เก่ง) วงเฟลม
วงการบัญเทิง
ดารา / นักแสดง
สมบัติ เมทะนี
วทัญญู มุ่งหมาย
โทนี่ รากแก่น
แคนดี้ รากแก่น
รสริน จันทรา (ช่อง 5)
สุธิดา หงษ์สา (ช่อง 3)
จอย จุฑามาศ วิชัยสมาชิกวงราเนีย
ธันวา สุริยจักร (ช่อง 3)
อ้วน วิภู งามเนตร (ช่อง 3)
นักการเกษตร
นายประยงค์ พงศ์มัตสยา
นายชารี มาระแสง
นายสมร ประทุมชาติ
นักกีฬา
นายประยูร ถาวรเสถียร
นายสุชาติ มุทุกันต์
นายศักดา สงวนศักดิ์
นายบำเพ็ญ ลัทธิมนต์
นายพรชัย ทองบุราณ
ทีมสโมสรฟุตบอลประจำจังหวัด
สโมสรฟุตบอลอุบล ยูเอ็มที เอฟซี (ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2556)
ชื่อสโมสรฟุตบอลในอดีต
ทีมสโมสรฟุตบอล อุบลยูไนเต็ด
ทีมสโมสรฟุตบอล อุบลไทเกอร์ เอฟซี
ทีมสโมสรฟุตบอล อุบลราชธานี เอฟซี
การศึกษา
โรงเรียน
โรงเรียนมัธยม สพม.
อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช                                               โรงเรียนนารีนุกูล
โรงเรียนนารีนุกูล 2                                                          โรงเรียนปทุมพิทยาคม
โรงเรียนมัธยมบ้านปะอาว (ม.ต้น)                         โรงเรียนศรีปทุมพิทยาคาร
โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 32                                        โรงเรียนหนองขอนวิทยา
โรงเรียนหนองบ่อสามัคคีวิทยา                                          โรงเรียนอุบลราชธานีศรีวนาลัย
อำเภอพิบูลมังสาหาร
โรงเรียนอ่างศิลา
อำเภอตระการพืชผล
โรงเรียนเกษมสีมาวิทยาคาร                                              โรงเรียนโนนกุงวิทยาคม
โรงเรียนมัธยมตระการพืชผล                                            โรงเรียนสะพือวิทยาคาร
อำเภอม่วงสามสิบ
โรงเรียนดงยางวิทยาคม                                                   โรงเรียนไผ่ใหญ่ศึกษา
โรงเรียนม่วงสามสิบอัมพวันวิทยา                                      โรงเรียนศรีน้ำคำศึกษา
อำเภอเขื่องใน
โรงเรียนเก่าขามวิทยา                                                      โรงเรียนเขื่องในพิทยาคาร
โรงเรียนชีทวนวิทยาสามัคคี                                              โรงเรียนบ้านไทยวิทยาคม
โรงเรียนสหธาตุศึกษา                                                      โรงเรียนเสียมทองพิทยาคม
อำเภอเดชอุดม
โรงเรียนเดชอุดม                                                             โรงเรียนท่าโพธิ์ศรีพิทยา
โรงเรียนทุ่งเทิงยิ่งวัฒนา                                                   โรงเรียนนากระแซงศึกษา
โรงเรียนนาส่วงวิทยา
อำเภอเขมราฐ
โรงเรียนเขมราฐพิทยาคม
อำเภอวารินชำราบ
โรงเรียนลือคำหาญวารินชำราบ                                         โรงเรียนวารินชำราบ
โรงเรียนวิจิตราพิทยา                                                       โรงเรียนห้วยขะยุงวิทยา
อำเภอโขงเจียม
โรงเรียนโขงเจียมวิทยาคม
อำเภอบุณฑริก
โรงเรียนนาโพธิ์วิทยา                                                       โรงเรียนบุณฑริกวิทยาคาร
อำเภอศรีเมืองใหม่
โรงเรียนศรีเมืองวิทยาคาร                                     โรงเรียนหนามแท่งพิทยาคม รัชมังคลาภิเษก
โรงเรียนเอือดใหญ่พิทยา
อำเภอน้ำยืน
โรงเรียนโดมประดิษฐ์วิทยา                                               โรงเรียนน้ำยืนวิทยา
อำเภอกุดข้าวปุ้น
โรงเรียนกุดข้าวปุ้นวิทยา                                                   โรงเรียนขุมคำวิทยาคาร
โรงเรียนโนนสวางประชาสรรค์
อำเภอนาจะหลวย
โรงเรียนดงสว่างวิทยา                                                      โรงเรียนนาจะหลวย
อำเภอตาลสุม
โรงเรียนเชียงแก้วพิทยาคม                                               โรงเรียนตาลสุมพัฒนา
อำเภอโพธิ์ไทร
โรงเรียนโพธิ์ไทรพิทยาคาร
อำเภอสิรินธร
โรงเรียนสิรินธรวิทยานุสรณ์
อำเภอสำโรง
โรงเรียนโคกสว่างคุ้มวิทยานุสรณ์                                      โรงเรียนสำโรงวิทยาคาร
อำเภอทุ่งศรีอุดม
โรงเรียนทุ่งศรีอุดม
อำเภอนาเยีย
โรงเรียนนาเยียศึกษา รัชมังคลาภิเษก
อำเภอนาตาล
โรงเรียนพะลานวิทยาคม                                                  โรงเรียนพังเคนพิทยา
อำเภอสว่างวีระวงศ์
โรงเรียนสว่างวีระวงศ์
อำเภอเหล่าเสือโก้ก
โรงเรียนหกสิบพรรษาวิทยาคม อุบลราชธานี
อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนดอนมดแดงวิทยาคม

โรงเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี
อำเภอพิบูลมังสาหาร
โรงเรียนโนนกลางวิทยาคม                                               โรงเรียนพิบูลมังสาหาร
โรงเรียนไร่ใต้ประชาคม                                                    โรงเรียนหนองบัวฮีวิทยาคม
อำเภอตระการพืชผล
โรงเรียนนาสะไมพิทยาคม
อำเภอเขื่องใน
โรงเรียนนาคำวิทยา
อำเภอเดชอุดม
โรงเรียนบัวงามวิทยา
อำเภอเขมราฐ
โรงเรียนแก้งเหนือพิทยาคม
อำเภอบุณฑริก
โรงเรียนห้วยข่าพิทยาคม
อำเภอโพธิ์ไทร
โรงเรียนเหล่างามพิทยาคม
อำเภอสิรินธร
โรงเรียนเบ็ดตี้ดูเมน 2 ช่องเม็ก
อำเภอน้ำขุ่น
โรงเรียนน้ำขุ่นวิทยา
โรงเรียนประถม สพฐ.
โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนมูลนิธิวัดศรีอุบลรตนาราม อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนอุบลวิทยาคม อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนเทศบาลบูรพาอุบล อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนเทศบาล 2 หนองบัว อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนเทศบาล 3 สามัคคีวิทยาคาร อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนเทศบาล 4 อนุบาลพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนเทศบาล 5 บ้านก้านเหลือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนเมืองอุบล อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนปทุมวิทยากร อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนบ้านปลาดุก อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนบ้านยางลุ่ม อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนบ้านแต้ใหม่ อำเภอเหล่าเสือโก้ก
โรงเรียนบ้านคำไฮใหญ่ อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านหนองหิน อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านหนองแล้ง อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านท่าเมือง อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านยางกะเดา อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านสว่าง อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านโอด อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านแคน อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านวังพระวังไฮ อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนดอนมดแดง (บ้านดงบัง)อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านยาง อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านกุดกั่ว อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านท่าลาด อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านกระบูน อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านค้อ อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านท่าศิลา อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านเหล่าแดง อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนบ้านบัวงาม อำเภอเดชอุดม
โรงเรียนบ้านหนองสนม อำเภอเดชอุดม
โรงเรียนบ้านนาเลิง อำเภอเดชอุดม
โรงเรียนบ้านหนองแวงโนนแฝก อำเภอเดชอุดม
โรงเรียนบ้านราษฎร์สามัคคี อำเภอเดชอุดม
โรงเรียนบ้านบบัวทอง อำเภอเดชอุดม
โรงเรียนบ้านบ้านคำครั่ง อำเภอเดชอุดม
โรงเรียนบ้านกลาง อำเภอเดชอุดม
โรงเรียนโนนสว่าง อำเภอนาจะหลวย
โรงเรียนบ้านหนองสะโน อำเภอบุณฑริก
โรงเรียนบ้านนาโพธิ์ อำเภอบุณฑริก
โรงเรียนบ้านจงเจริญ อำเภอบุณฑริก
โรงเรียนสาธิต
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อำเภอวารินชำราบ
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนเอกชน
โรงเรียนมัธยมพิบูลวิทยาลัย อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนยุวทูตศึกษา 2 อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนสมเด็จ อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนอัสสัมชัญอุบลราชธานี อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนอาเวมารีอา อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนอุบลวิทยากร อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนฮั้วเฉียวกงฮัก อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนฮั้วเฉียวอุบลราชธานี 2 อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนอนุบาลพุทธเมตตา อำเภอเขมราฐ
โรงเรียนเยาวเรศศึกษา อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนอนุบาลน้องหญิงอำเภอตระการพืชผล
โรงเรียนพรเมตตาคริสเตียนอำเภอนาตาล
โรงเรียนสีทอง อำเภอดอนมดแดง
โรงเรียนประสิทธิ์ศึกษาสงเคราะห์ อำเภอเมืองอุบลราชธานี
โรงเรียนศรีแสงธรรม อำเภอโขงเจียม
ระดับอาชีวศึกษา
วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี
วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุบลราชธานี
วิทยาลัยการสารพัดช่างอุบลราชธานี
วิทยาลัยเทคนิคเดชอุดม
วิทยาลัยการอาชีพตระการพืชผล
วิทยาลัยการอาชีพวารินชำราบ
วิทยาลัยการอาชีพเขมราฐ
วิทยาลัยเทคโนโลยีอาชีวศึกษาอุบลราชธานี
วิทยาลัยอาชีวศึกษาโปลีเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการพิบูลมังสาหาร
ระดับอุดมศึกษา
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น
มหาวิทยาลัยราชธานี
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ศูนย์วิทยพัฒนา จังหวัดอุบลราชธานี
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานี ตั้งอยู่ในเขตวัดมหาวนาราม
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ศูนย์การศึกษาอุบลราชธานี
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์อุบลราชธานี
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ศูนย์จังหวัดอุบลราชธานี
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ สถาบันพระบรมราชชนก
วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล (สถานีวิจัยภาคสนามอุบลราชธานี)
มหาวิทยาลัยปทุมธานี ศูนย์การศึกษาอุบลราชธานี
มหาวิทยาลัยอีสาน ศูนย์เขมราฐ

ของดีจังหวัดอุบลราชธานี
จังหวัดอุบลราชธานีขึ้นชื่อในเรื่องหัตถกรรม ซึ่งได้แก่ ผ้าทอเมืองอุบล ผ้าฝ้ายทอมือ หมอนขิด ผ้าขาวม้า ผ้าไหม เครื่องทองเหลือง เครื่องจักสานจำพวกกระด้ง กระติ๊บข้าว ข้องใส่ปลา ตะกร้า
นอกจากนี้จังหวัดอุบลราชธานียังขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารการกิน ได้แก่ หมูยอ กุนเชียง ไส้กรอกอีสาน และ เค็มบักนัด (เค็มสับปะรด) ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อของจังหวัดอุบลราชธานี ทำด้วยเนื้อปลาสวายหรือปลาเทโพ หั่นเป็นชิ้นยาวๆ ดองในน้ำเกลือและเนื้อสับปะรดที่ซอยเป็นชิ้นเล็กๆ บรรจุในขวดแก้ว สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้หลายอย่าง เช่น อาหารประเภทหลน มีจำหน่ายทั่วไปในตัวเมือง
ผลิตภัณฑ์ทองเหลืองชุมชนบ้านปะอาว บ้านปะอาวเป็นหมู่บ้านที่เก่าแก่มากแห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี เป็นหมู่บ้านที่มีอาชีพที่เป็นสัญลักษณ์ประจำหมู่บ้าน ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ คือ การทำเครื่องทองเหลือง กรรมวิธีการผลิตยังเป็นแบบดั้งเดิม นอกจากนี้แล้ว ในหมู่บ้านยังมีศูนย์สาธิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทองเหลือง และทอผ้าไหมที่สวยงาม เปิดทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ
ผ้ากาบบัวอุบลราชธานี
จังหวัดอุบลราชธานีมีชื่อเสียงในด้านการทอผ้ามาเป็นเวลา เห้นได้จากวรรณกรรมโบราณอีสานและประวัติศาสตร์ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดอุบลราชธานีได้ปรากฏให้เห็นถึงความประณีตสวยงาม แสดงถึงภูมิปัญญาของผู้ทอผ้าที่ได้สร้างสรรค์บรรจงด้วยจิตวิญญาณ ออกมาเป็นลวดลายวิจิตรจนถึงปัจจุบัน ปัจจุบัน "ผ้ากาบบัว" ได้รับการสืบสานเป็นผ้าเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของจังหวัดอุบลราชธานี เป็นที่นิยมในวงการแฟชั่นไทย มีการสวมใส่ตั้งแต่ระดับชั้นของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไปจนถึงระดับวัยรุ่นด้วยรูปแบบที่หลากหลาย
ผ้ากาบบัวในหน้าประวัติศาสตร์
ในสมัยพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงสำเร็จราชการมณฑลลาวกาวและมณฑลอีสานได้นำผ้าทอเมืองอุบลราชธานี ทูลเกล้าถวายซึ่งปรากฏในหน้าพระราชหัตถเลขา ตอบเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ร.ศ. 114 ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ความว่า "ถึงสรรพสิทธิ์ ด้วยได้รับหนังสือลงวันที่ 13 มกราคม ส่งผ้าเยียรบับลาวมาให้นั้นได้รับแล้ว ผ้าทอดีมากจากเชียงใหม่ยังสู้ไม่ได้เลย ถ้าจะยุให้ทำมาขายคงจะมีผู้ซื้อ ฉันจะรับเป็นนายหน้า ส่วนที่ส่งมาจะให้ตัดเสื้อ ถ้ามีเวลาจะถ่ายรูปให้ดู แต่อย่าตั้งใจคอยเพราะจะถ่ายเมื่อใดบอกไม่ได้ จุฬาลงกรณ์ ปร."
จากการค้นคว้าถึงตำนานผ้าเยียรบับนี้พบว่า เป็นผ้าลายกาบบัวคำ ทอด้วยเทคนิคขิดหรือยกด้วยไหมคำ (ดิ้นทอง) แทรกด้วยไหมมัดหมี่ ใช้เทคนิคด้วยการจกหรือเกาะด้วยไหมสีต่างๆลงบนผ้า ในเวลาอีก 55 ปีถัดจากนั้น เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 ชาวอุบลราชธานีได้ร่วมใจกันทอ "ผ้าซื่นไหมเงิน ยกดอกลายพิกุล" ทูลเกล้าถวายเนื่องในพิธีพระราชบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ในรัชกาลปัจจุบันและถัดจากนั้นอีก 5 ปีถัดมาในวโรกาสเสด็จพระราชดำเนินมายังเมืองอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2498 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าซิ่นไหมเงิน ที่ชาวอุบลราชธานีทูลเกล้า ฯถวาย และมีเสด็จรับสั่งกับพสกนิกรที่หน้าศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ว่า "ชาวอุบลฯเขาให้ผ้าซื่นเป็นของขวัญวันอภิเษกสมรส เมื่อมาเยี่ยมอุบลฯ จึงนำมานุ่งให้คนอุบลฯเขาดู" ยังความปีติปลาบปลื้มเป็นล้นพ้นของชาวอุบลราชธานีเป็นอย่างมาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น