สงครามเวียดนาม
สงครามเวียดนามคือแผลเป็นรอยใหญ่ของสหรัฐอเมริกา
ที่ทุกวันนี้ยังทำให้ชาวอเมริกันเจ็บปวดไม่หาย แม้ว่าเวลาจะผ่านมา 46 ปีแล้ว
สงครามเวียดนามเกิดในยุคสงครามเย็น
ที่โลกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและขัดแย้งกันรุนแรงมากในอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างฝ่ายเสรีนิยมกับคอมมิวนิสต์
ขณะที่ต่างฝ่ายต่างเห็นว่าลัทธิของตนดีกว่าอย่างสุดขั้ว
ฝ่ายเสรีนิยมมีอเมริกาเป็นหัวหน้า
ส่วนฝ่ายคอมมิวนิสต์มีสหภาพโซเวียตและจีนเป็นหัวหอก
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันก่อนในสงครามเกาหลีปีค.ศ.1950-53
และเสมอกันไปเมื่อเกาหลีแตกเป็นสองประเทศคือเหนือกับใต้
ส่วนสงครามเวียดนามปะทุตามมาในปี ค.ศ.1954-75
เป็นการสู้รบระหว่างฝ่ายเหนือใต้เช่นกัน ทางอเมริกานั้นนอกจากจะไม่ชนะแล้ว
ยังสูญเสียจากการทุ่มส่งทหารเข้าไปรบถึง 2,5000,000 นาย เพื่อประกาศแสนยานุภาพ
โดยเสียชีวิตไปกว่า 58,000 นาย บาดเจ็บ 2 แสนนาย
และเชื่อว่าอีกแสนนายฆ่าตัวตายเพราะทนสภาพโหดร้ายไม่ไหว
ชาวอเมริกันในสหรัฐจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับสงครามครั้งนี้
และแทบจะไม่ลืมบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้เลย
สงครามเวียดนาม (อังกฤษ: Vietnam War) (ค.ศ.
1957-1975) เป็นสงครามระหว่างเวียดนามเหนือ
และเวียดนามใต้ที่สนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกา เพื่อตัดสินว่าควรรวมเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวตามข้อตกลงเจนีวา
ค.ศ. 1954 หรือไม่ สงครามจบลงด้วยชัยชนะของเวียดนามเหนือ
และรวมประเทศเวียดนามทั้งสองเข้าด้วยกัน
ซึ่งปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศเวียดนาม
ในประเทศเวียดนามเองเรียกสงครามนี้ว่า สงครามปกป้องชาติจากอเมริกัน หรือ
สงครามอเมริกัน
สาเหตุของสงครามเวียดนาม
กำเนิดขบวนการใต้ดิน
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
ขบวนการเวียดมินห์ ได้ถือกำเนิดขึ้น โดย โฮจิมินห์ เป็นผู้นำ ระยะแรก
การดำเนินการนั้น เพียงเพื่อหวังว่าจะขับไล่ญี่ปุ่นออกจากประเทศไปเท่านั้น
แต่ครั้นในปี ค.ศ. 1944
พวกเวียดมินห์ได้ตั้งกองบัญชาการกองโจรขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนกำลังและอาวุธจากสหรัฐอเมริกา
แต่กำลังการรบของเวียดมินห์นั้นยังเป็นกองกำลังเล็กๆ
ยังไม่สามารถที่จะไปต่อต้านพวกญี่ปุ่นได้
ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945
สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป คือ ญี่ปุ่นได้ปลดอาวุธและขังทหารฝรั่งเศสประจำอินโดจีน
จึงเป็นเหตุทำให้ฝรั่งเศสนั้นเสียศักดิ์ศรีไปมาก เพราะขณะเกิดเรื่องนี้
ญี่ปุ่นกำลังจะแพ้สงคราม ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวเวียดนามกลุ่มต่างๆ
ที่ดิ้นรนเพื่อเป็นเอกราช ได้เริ่มดำเนินการทันที ซึ่งผู้นำนั้นก็คือ เบาไต๋
ซึ่งเคยเป็นจักรพรรดิแคว้นอันนัม ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็น
"จักรพรรดิแห่งเวียดนาม" และต่อมาทำให้กลุ่มของเบาไต๋
มีความหวังยิ่งขึ้น คือ นายพลเดอโกลล์
ได้กล่าวคลุมเครือว่าอยากให้เวียดนามปกครองตนเอง
ซึ่งทำให้พวกชาตินิยมในเวียดนามต่างก็มีความหวังในเรื่องเอกราชโดยสันติวิธียิ่งขึ้นไปอีก
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาได้ทำลายความหวังลงไป
เพราะกลุ่มเวียดมินห์ได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น แต่คำสั่งนี้มีเจตนาแอบแฝง
ไว้เพื่อหวังผลอีกทางหนึ่ง
โดยมีเจตนาหาทางป้องกันไม่ให้ฝรั่งเศสกลับมามีอำนาจในเวียดนามอีก
ประกาศเอกราชในเวียดนาม
ซึ่งการที่กลุ่มเวียดมินห์นั้นได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น
ได้ผลดีมากในทางภาคเหนือของประเทศ
จักรพรรดิเบาไต๋ได้สละตำแหน่งประมุขของประเทศแล้วจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้น
แล้วประกาศเอกราชในเวลาต่อมา ความสำเร็จในการยึดอำนาจครั้งนี้ ทำให้พวกคอมมิวนิสต์ที่ปะปนอยู่ในหมู่ชาตินิยมเวียดนามสามารถตั้งตนในหมู่คณะชั้นนำของขบวนการปฏิวัติได้
ต่างชาติเข้าแทรกแซง
ฝรั่งเศสยังมีความพยายามที่จะยึดครองเวียดนามอยู่
แต่โอกาสยังไม่อำนวยเพราะขาดกำลังทหารและพาหนะลำเลียง
แต่เวียดนามก็ยังคงตกอยู่ในสภาพดังเดิม เพราะมหาอำนาจฝ่ายพันธมิตรผู้ชนะสงครามได้เข้ามายึดครองแทน
โดยมีอังกฤษเข้ายึดครองภาคใต้ของเวียดนาม จีนคณะชาติยึดครองทางภาคเหนือของเวียดนาม
ชาวเมืองต่างไม่พอใจในการกระทำของอังกฤษ นายพลเกรซี่ย์
ผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษในเวียดนาม ได้ประกาศกฎอัยการศึกในเขตที่ยึดครอง สำหรับฝรั่งเศสมีทหารจำนวนเล็กน้อยได้มาถึงไซง่อนแล้ว
ไปยึดตึกที่ทำการของรัฐบาล รื้อฟื้นอำนาจของฝรั่งเศสใหม่

ขบวนการผู้รักชาติ
โฮจิมินห์เริ่มเล็งเห็นถึงความเสียเปรียบ
พยายามที่จะเอาชนะฝรั่งเศส
ซึ่งกระทำได้ก็โดยการรวบรวมชาวเวียดนามที่มีหัวชาตินิยมไปเป็นพวก และเพื่อเป็นการปกปิดการหนุนหลังคอมมิวนิสต์
พร้อมกับแสดงให้ประชาชนเห็นว่าเป็น ขบวนการผู้รักชาติ
โดยสั่งยุบพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย และจัดตั้ง แนวแห่งชาติ ขึ้นแทน
ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์นั้นได้กลายเป็นองค์กรใต้ดิน
ดำเนินการอย่างลับๆต่อมาเป็นเวลานาน
ข้อตกลงระหว่างจีนคณะชาติกับฝรั่งเศส
ภาคเหนือของเวียดนาม
เป็นที่มั่นของขบวนการเวียดมินห์แต่มีกองทัพจีนคณะชาติอยู่
ฝรั่งเศสอยากให้จีนคณะชาติถอนตัวไปเพื่อจะได้ปราบพวกเวียดมินห์
และยึดภาคเหนือคืนได้สะดวกขึ้น ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946
ฝรั่งเศสจึงได้ตกลงกับเจียงไคเซ็ค
ยอมยกเลิกสิทธพิเศษในจีนเพื่อแลกกับการถอนทหารจีนออกไปจากภาคเหนือของเวียดนาม
โฮจิมินห์พอเข้าใจถึงผลจากข้อตกลงนี้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ต้องปะทะกับฝรั่งเศสและจีน
จึงต้องยอมให้ฝรั่งเศสยึดที่มั่นบางแห่งในภาคกลางและภาคเหนือ เพราะขณะนี้
โฮจิมินห์ ยังไม่พร้อมที่จะรบหรือต่อต้านกับชาติใดๆทั้งสิ้น
พยายามแสวงหาสันติภาพ
ฝรั่งเศสและเวียดมินห์ต่างก็พยายามจะตกลงกันโดยสันติวิธีโดยโฮจิมินห์ยอมให้ฝรั่งเศสเคลื่อนกำลังเข้ายังฮานอยและไฮฟอง
ส่วนฝรั่งเศสก็ตอบแทนด้วยการรับปากว่าจะให้เวียดนามเป็น ประเทศเสรี แต่ผลที่ได้รับจากการตกลงดังกล่าว
ได้กลายเป็นสาเหตุแห่งความยุ่งยากร้ายแรงในเวลาต่อมา กล่าวคือ
การประชุมเจรจากันระหว่าง 2 ประเทศนั้นไม่ลงรอยกันมากขึ้น
เพราะการประชุมส่วนใหญ่เกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไม่ได้กล่าวถึงเสรีภาพเลย
ฝรั่งเศสมุ่งที่จะยึดครองด้วยกำลังทหาร
ในช่วงเวลานี้ได้เกิดเหตุร้ายในไฮฟองหลายครั้ง
ฝรั่งเศสระดมยิงหมู่บ้านไฮฟองเสียหายมากมาย
ผลจากการกระทำดังกล่าว
ทำให้ฝ่ายเวียดมินห์เห็นว่า การตกลงโดยสันติวิธีกับฝรั่งเศสคงไม่เป็นผล
ดังนั้นจึงได้สั่งเคลื่อนกำลังพลโจมตีกองทหารฝรั่งเศสทั่วประเทศทันทีในวันที่ 19
ธันวาคม ค.ศ. 1946
ปัญหาระหว่างฝรั่งเศส - เวียดมินห์
เอกราชของเวียดมินห์ที่ชาวเวียดนามแสวงหา
กลายเป็นปัญหาสำคัญทางการเมืองที่สำคัญที่สุด
และเป็นผลทำให้ชาวเวียดนามที่มีหัวปานกลางที่สังกัดกลุ่มชาตินิยม
ซึ่งในระยะแรกคิดจะปรองดองกับฝรั่งเศส โดยจะยอมรับการปกครองของฝรั่งเศสแบบใดแบบหนึ่ง
แล้วต้องสัญญาให้เอกราชที่สมบูรณ์ในภายหลัง แต่ฝรั่งเศสไม่สนใจ
จึ่งทำให้พวกชาตินิยมกลุ่มนี้พยายามจัดตั้ง แนวสหภาพชาตินิยม เมื่อเดือนพฤษภาคม
ค.ศ. 1947 และได้กลายเป็นพลังการต่อต้านที่สำคัญในเวลาต่อมา
ด้วยเหตุดังกล่าว ฝรั่งเศสจึงได้กลายเป็นที่เกลียดชังของพวกชาตินิยมชาวเวียดนาม
แม้แต่พวกไม่เคยต่อต้านฝรั่งเศสและนักการเมืองก็ต้องให้ความร่วมมือกับพวกปฏิวัติ
หรือหนีไปนอกประเทศ ต่อมาในภายหลังฝรั่งเศสได้เสนอต่อเวียดนาม
ให้มีเสรีภาพในวงกรอบแห่งสหภาพฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ให้ความแน่ชัดในทางปฏิบัติ
จึงเป็นเหตุให้พวกเวียดมินห์ที่ไม่พอใจฝรั่งเศส
ทำการกวาดล้างชาวเวียดนามด้วยกันเองที่สนับสนุนข้อเสนอดังกล่าวของฝรั่งเศส
ปี ค.ศ. 1948
โงดินห์เตียมได้เสนอให้ฝรั่งเศสยกฐานะเวียดนามขึ้นเป็นประเทศในเครือจักรภพ
แต่ฝรั่งเศสไม่ยอมรับ แต่อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสก็พยายามที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดของตนด้วยการเชิญเบาไต๋
ขึ้นเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล แต่ก็ไม่เกิดผลดีแก่ฝรั่งเศสแต่อย่างใด
เพราะฝ่ายชาตินิยมหมดความไว้วางใจในฝรั่งเศสเสียแล้ว
นอกจากนี้พวกคอมมิวนิสต์เวียดมินห์
ได้ควบคุมความเคลื่อนไหวของพวกชาตินิยมโดยสิ้นเชิง และเบาไต๋ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมของประชาชน
การมองข้ามความสำคัญของพลังความรู้สึกทางชาตินิยมของชาวเวียดนาม
และการไม่แสวงหาสันติภาพด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นความผิดพลางขั้นแรกของฝรั่งเศส
ตลอดจนไม่นึกถึงความสำคัญของความร่วมมือสนับสนุนจากประชาชน
ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยให้ข้าศึกสามารถรวมตัวกันได้เป็นปึกแผ่นและรวดเร็วยิ่งขึ้น
สหรัฐอเมริกา
ได้เริ่มเข้าช่วยฝรั่งเศสในการรบกับเวียดมินห์ เมื่อปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา
สหรัฐอเมริกาได้เข้าไปพัวพันกับเวียดนามมากยิ่งขึ้น
ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในด้านการทหาร เศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้นด้วย










ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น