วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ลักษณะทางกายภาพของประเทศไทย


ลักษณะทางกายภาพของประเทศไทย


ที่ตั้งและลักษณะทั่วไปของประเทศไทย
                ที่ตั้ง  ประเทศไทยตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของคาบสมุทรอินโดจีน มีที่ตั้งตามพิกัดภูมิศาสตร์ดังนี้
                ตั้งอยู่ประมาณระหว่างละติจูด 5 องสา 37 ลิปดาเหนือ กับ 20 องสา 27 ลิปดาเหนือและระหว่างลองจิจูด 97 องศา 22 ลิปดาตะวันออก กับ 105 องศา 37 ลิปดาตะวันออก  หรือบริเวณซีกโลกเหนือในเขตละติจูดต่ำ ระหว่างเส้นศูนย์สูตร กับเส้นทรอปิกออกฟเคนเซอร์ นั่นเอง จึงจัดอยู่ในประเทศเขตร้อน
                จากที่ประเทศไทยทำเลที่ตั้งเป็นคาบสมุทร จึงส่งผลดีต่อการเพาะปลูกของประเทศตลอดมา และประเทศไทยตั้งอยู่ท่ามกลางดินแดนของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญแห่งหนึ่งของโลก

                อาณาเขตติดต่อ

                1. อาณาเขตติดต่อกับสหภาพพม่า  มีดินแดนดินต่อกับพม่าในภาคเหนือ ภาคตะวันตกและภาคใต้รวม 10 จังหวัด แนวพรมแดนอาศัยทิวเขาและแม่น้ำเป็นเส้นกั้นเขตแดนตามธรรมชาติ
                2. อาณาเขตติดต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีพรมแดนติดต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในภาคเหนือและภาคตะวันออก เฉียงเหนือ รวม 11 จังหวัด มีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นพรมแดนทางน้ำที่สำคัญ ส่วนพรมแดนทางบกมีทิวเขาหลวงพระบางกั้นทางตอนบน และทิวเขาพนมดงรักบางส่วนกั้นเขตแดนตอนล่าง
                3. อาณาเขตติดต่อกับราชอาณาจักรกัมพูชา มีพรมแดนติดต่อกับราชอาณาจักรกัมพูชาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก รวม 7 จังหวัด
                4. อาณาเขตติดต่อกับมาเลเซีย มีพรมแดนติดต่อกับมาเลเซีย ในภาคใต้ 4 จังหวัด มีเทือกเขาสันกาลาคีรีและแม่นำโก ลก จังหวัดนราธิวาสเป็นเส้นกั้นแดน
                5. อาณาเขตทางทะเล ติดต่อกับทะเลทั้งด้านอ่าวไทยและด้านทะเลอันดามันรวมเป็นระยะทาง 2,705 กิโลเมตร
                1 ) อาณาเขตติดต่อกับอ่าวไทย มีทั้งสิ้น 16 จังหวัด อยู่ในภาคกลาง 3 จังหวัด ภาคตะวันออก 4 จังหวด ภาคตะวันตก 2 จังหวัด ภาคใต้ 7 จังหวัด
                2 ) อาณาเขตติดต่อกับทะเลอันดามัน มีทั้งสิ้น 6 จังหวัด อยู่ในภาคใต้
ลักษณะทางกายภาพของประเทศไทย
                ลักษณะภูมิประเทศ คือ สภาพทั่วๆ ไปบนผิวโลก มีลักษณะทางภูมิประเทศที่แตกต่างกัน ในแต่ละท้องถิ่นซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันไป
                ปัจจัยที่ก่อให้เกิดลักษณะภูมิประเทศ
                เกิดจากการผันแปรของเปลือกโลกเนื่องจากพลังงานภายในโลก ทำให้เปลือกโลกถูกบีบอัดยกตัวสูงขึ้นหรือทะเลต่ำลงและอีกประการหนึ่งเกิดจาก การกระทำของตัวกระทำต่างๆ
                นอกจากการเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติแล้ว การกระทำของมนุษย์ก็มีส่วนในการทำให้เกิดลักษณะภูมิประเทศบางอย่างได้เช่น กัน แต่มีขอบเขตจำกัดกว่าการกระทำตามกระบวนการทางธรรมชาติ

ลักษณะโครงสร้างภูมิประเทศของไทย
                มี ลักษณะโครงสร้าง ภูมิประเทศที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกกับการกระทำของแม่น้ำลำธารใน ระยะเวลาที่ผ่านมา  และเขตภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ของคณะกรรมการภูมิศาสตร์ โดยแบ่งออกเป็น 6 เขตใหญ่ ดังนี้
                1. เขตภูเขาและหุบเขาภาคเหนือ  บริเวณ ที่สูงและภูเขาทั้งหมดในภาคเหนือ  ภูมิประเทศบริเวณที่สูงของภาคนี้ มีลักษณะเป็นภูเขาและหุบเขาสลับกันเป็นแนวยาว บริเวณที่สูงภาคเหนือนี้ถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญของประเทศ
                ภาคเหนือเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญหลายชนิด อาชีพของประชากรในภาคนี้ ได้แก่ กาเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์  และการทำเหมืองแร่
                2. เขตที่ราบลุ่มภาคกลาง บริเวณที่ราบตอนกลางและตอนล่างของลุ่มแม่น้ำทั้งหมดที่ไหลลงสู่อ่าวไทย จึงทำให้บริเวณแอ่งแผ่นดินที่ต่ำถูกทับถมด้วยโคลนตะกอนสูงๆ ขึ้น จนในที่สุดอยู่เหนือระดับน้ำ กลายเป็นที่ราบ ซึ่งเป็นบริเวณที่ราบกว้างขาวงที่สุดในประเทศ  เขตที่ราบภาคกลางอาจแบ่งได้เป็น 2 บริเวณ
                2.1 บริเวณที่ราบลุ่มน้ำตอนบนและบริเวณขอบที่ราบตอนล่าง
                2.2 บริเวณที่ราบลุ่มน้ำตอนล่าง
                3. เขตเทือกเขาและหุบเขาภาคตะวันตก บริเวณนี้อยู่ทางด้านตะวันตกของเขตที่ราบภาคตะวันตก ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นทิวเขาและหุบเขาสลับซับซ้อน มีลักษณะเป็นเทือกเขาและหุบเขามากกว่าที่ราบซึ่งคล้ายกับภาคเหนือ  ประชากรในภาคนี้มีไม่มากนักเพราะเป็นเขตป่าเขา  ภาคตะวันตกเป็นดินแดนที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติหลายประเภทมีความสำคัญ ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ  มีแหล่งน้ำที่สมบูรณ์ที่เหมาะแก่การทำเกษตรกรรม มีป่าไม้และสัตว์ป่านานาชนิด เป็นแหล่งผลติแร่โลหะและอโลหะที่สำคัญในด้านอุตสาหกรรม รวมทั้งเป็นแหล่งพลังงานน้ำมันที่นำมาพัฒนาและใช้ประโยชน์ได้อย่างมหาศาล
4. เขตชายฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย เป็นเขตที่มีเนื้อที่น้อยที่สุด ภูมิประเทศโดยทั่วไปจะเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำและที่ราบชายฝั่งทะเล  มีฝนตกชุกและมีป่าไม้เหมือนภาคใต้และภาคเหนือมีการเพาะปลูกพืชไร่และการค้า เหมือนภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ยังเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญทางเศรษฐกิจหลายอย่าง
                5. เขตที่ราบภาคตอวันออกเฉียงเหนือ   พื้นที่ ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง  ลักษณะของพื้นที่เป็นแอ่งคล้ายจานลาดเอียงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ไปทางบริเวณ แม่น้ำโขง  แม้ว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเป็นภาคที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุด หากทางด้านทรัพยากรธรรมชาติทีสำคัญเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว อาจด้อยกว่าภาคอื่นๆ
                6. เขตคาบสมุทรภาคใต้  เป็นพื้นที่ราบ บริเวณชายฝั่งทะเล และภูเขาที่เป็นแกนหรือสันของคาบสมุทร มีลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศแตกต่างจากภาคอื่นๆ  อย่างชัดเจน พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยเทือกเขา ซึ่งเป็นแกนกลางเขตคาบสมุทรที่สำคัญ ลักษณะชายฝั่งทางภาคใต้มีลักษณะของพื้นแผ่นดินที่มีการยกตัวสูงขึ้น ด้วยเหตุนี้ชายฝั่งอ่าวไทยจึงมีที่ราบชายฝั่ง เป็นบริเวณกว้างจึงเป็นแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญของภาคใต้ ภาคใต้เป็นแหล่งที่อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่าหลายชนิด โดยเฉพาะตามแนวชายฝั่งทะเลและน่านน้ำทั้ง 2 ด้าน  เป็นแหล่งสัตว์น้ำและแร่ธาตุที่มีความสมบูรณ์ทั้งยังเป็นแหล่งผลิตพืช เศรษฐกิจที่สำคัญหลายชนิด

ลักษณะภูมิอากาศ

                ปัจจัยที่มีผลต่อภูมิอากาศของประเทศไทย
                1. ที่ตั้งตามแนวละติจูด  ประเทศไทยตั้งอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร โดยมีระยะห่างตามแนวละติจูดจากเส้นศูนย์สูตรไม่มากนัก จึงได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์ตลอดทั้งปีและถือว่าเป็นเขตร้อน
                2. ความใกล้ไกลจากทะเล ส่วนตอนบนของประเทศอยู่ในพื้นที่แผ่นดินใหญ่ ส่วนตอนล่างเป็นคาบสุทรอยู่ติดทะเล จึงทำให้ภูมิอากาศแต่ละภาคแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิปริมาณน้ำฝนหรือฤดูกาล

                3. ลักษณะภูมิประเทศ  ที่มีอิทธิพลต่อสภาพภูมิอากาศ

3.1 ความสูงของพื้นที่
3.2 การวางตัวของภูเขา
3.3 ทิศทางของลมประจำ  ลมมรสุมที่พัดผ่านประเทศไทยมี 2 ชนิด ตามทิศทางลมที่พัดมาคือ
      1 ) ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
      2 ) ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ

                องค์ประกอบของภูมิอากาศ

                1. อุณหภูมิ  อุณหภูมิในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 บริเวณอย่างกว้างๆ ตามลักษณะภูมิอากาศ คือ
                1.1 ประเทศไทยตอนบน  ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก
                1.2 ประเทศไทยตอนล่าง ได้แก่ ภาคใต้ อุณหภูมิตลอดทั้งปีจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
                2. ปริมาณน้ำฝน มีค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่มักเกิดในรูปของฝนตกหนักในระยะสั้น และมักพบในเวลาเย็นหรือเช้าตรู่  การพิจารณาฝนในประเทศไทยอาจแบ่งออกได้เป็น 2 บริเวณ คือ
                2.1 ประเทศไทยตอนบน 
                2.2 ประเทศไทยตอนล่าง
                3. ฤดูกาล  ประเทศไทยแบ่งฤดูกาลออกเป็น 3 ฤดู ดังนี้
                3.1 ฤดูฝน  เริ่มตั้งแต่ประมาณกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนเมษายน มีระยะเวลา 56 เดือน โดยลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ได้พัดปกคลุมประเทศไทยแล้ว
                3.2 ฤดูหนาว เริ่ม ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์  มีระยะเวลา 3 เดือน  ในระยะนี้ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือได้พัดปกคลุมประเทศไทยทำให้อุณหภูมิลดลง
                3.3 ฤดูร้อน  เริ่มตั้งแต่กลางเดือนภุมภาพันธ์ไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม มีระยะเวลา 3 เดือน  เป็นระยะที่ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนืออ่อนกำลังลง
กิจกรรมทางเศรษฐกิจในแต่ละภาค
ภาคเหนือ ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรองลงมาคืออุตสาหกรรม
1. การเกษตรกรรม  ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ทำป่าไม้
2. การอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมขั้นต้น
3. การทำเหมืองแร่ โดยเฉพาะแร่แมงกานีส ซีไลต์ ฟลูออไรต์ และดินขาว เป็นแร่ที่ผลิตได้มากกว่าภาคอื่นๆ ของประเทศ

4. การคมนาคมขนส่ง มีระบบการคมนาคมขนส่งทางถนน ทางรถไฟ และทางอากาศ
5. การท่องเที่ยว  การท่องเที่ยวมีความสำคัญค่อนข้างมาก มีแหล่องท่องเที่ยว ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
ภาคกลาง
1. การเกษตรกรรม  มี แม่น้ำสายสำคัญไหลผ่าน และทีการชลประทานที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศ การเลี้ยงสัตว์ จังหวัดนครปฐมเป็นแหล่งเลี้ยงสุกรที่สำคัญที่สุดของประเทศ
2. การอุตสาหกรรม  โรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร
3. การทำเหมืองแร่ ภาคกลางเป็นเขตหินใหม่ที่เกิดจากการทับถมของโคลนตะกอน แร่ที่ผลิตได้ส่วนใหญ่เป็นแร่อโลหะและแร่เชื้อเพลิง
4. การคมนาคมขนส่ง  เป็นจุดรวมของการคมนาคมขนส่งทั้งทางถนน ทางรถไฟ ทางน้ำ และทางอากาศ
5. การท่องเที่ยว มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
1. การเกษตรกรรม  มีการเลี้ยงสัตว์มากกว่าภาคอื่นๆ นอกจากนี้ก็จะมีการทำนา การปลูกพืชไร่ที่ทนความแห้งแล้งได้ดี
2. การอุตสาหกรรม  ส่วนใหญ่เป็นโรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร  โรงงานจะตั้งอยู่ในจังหวัดใหญ่ๆ ของภาค
3. การทำเหมืองแร่ มีแร่เพียง 23 ชนิด จังหวัดที่มีการทำเหมืองแร่คือ เลย นครราชสีมา อุดรธานี และหนองบัวลำภู
4. การคมนาคมขนส่ง มีการคมนาคมขนส่งทางถนน ทางรถไฟ ทางน้ำ และทางอากาศ
5. การท่องเที่ยว ที่สำคัญในภาคนี้จะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม
ภาคตะวันออก
1. การเกษตรกรรม ส่วนใหญ่จะมีการปลูกพืชไร่ มีการทำนาบริเวรลุ่มแม่น้ำปราจีนบุรี และแม่น้ำปางปะกง  มีการทำสวนผลไม้และยางพาราที่จังหวัด จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรี และมีการประมงทั้งประมงน้ำจืดและประมงน้ำเค็ม
2. การอุตสาหกรรม มีมากในจังหวัดชลบุรีและรองลงมาคือระยอง
3. การทำเหมืองแร่ แร่ที่สำคัญมี 3 ชนิด รัตนชาติ ทรายแก้ว พลวง
4. การคมนาคมขนส่ง มีการคมนาคมขนส่งทางถนน ทางรถไฟ ทางน้ำ และทางอากาศ
5. การท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวที่รู้จักจักกันดีทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ

ภาคตะวันตก

1. การเกษตรกรรม มีการทำนาบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ  การปลูกพืชไร่  การทำสวนผลไม้  การเลี้ยงสัตว์ การประมงแหล่งประมงน้ำจืดทำกันมากบริเวณเขื่อนและแม่น้ำสายใหญ่ๆ มีการทำประมงน้ำเค็มในพื้นที่ 2 จังหวัด คือ เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์
2. การอุตสาหกรรม  มีการทำอุตสาหกรรมน้ำตาลมาก การผลิตเครื่องปั้นดินเผา และอุตสาหกรรมแปรรูปสับปะรด
3. การทำเหมืองแร่ มีทิวเขาซึ่งเป็นหินเก่าแก่มีแหล่งแร่ที่เกิดจากหินอัคนี เช่น แร่ดุก แร่ตะกั่ว แร่สังกะสี แร่เฟลด์สปาร์ แร่ฟลูออไรต์ และแร่รัตนชาติ
4. การคมนาคมขนส่ง มีการคมนาคมขนส่งทางถนน ทางรถไฟ ทางน้ำ
5. การท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมมากในจังหวัดกาญจนบุรี สถานที่ตากอากาศตามชายฝั่งทะเล และตลาดน้ำดำเนินสะดวก

ภาคใต้

1. การเกษตรกรรม มีการปลูกข้าว แหล่งปลูกข้าวที่ดีที่สุดคือ จังหวัดนครศรีธรรมราชา พัทลุงและสงขลา ไม่ยืนต้นที่ปลูกกันมาก ได้แก่ ยางพารา มะพร้าว เป็นต้น ไม้ผล ได้แก่ เงาะ ทุเรียน ลางสาด เป็นต้น มีการเลี้ยงโคและกระบือมากกว่าเขตอื่นๆ  มีการทำประมงน้ำเค็มในทุกจังหวัดที่มีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเล
2. การอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ได้แก่ โรงงานถลุงแร่ดีบุก  อุตสาหกรรมทำปลากระป๋อง ส่วนโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ได้แก่ การแปรรูปไม้ เป็นต้น
3. การทำเหมืองแร่ ภาคใต้มีการผลิตแร่ที่สำคัญหลายชนิด
4. การคมนาคมขนส่ง การขนส่งทางถนน ทางหลวงสายหลักคือถนนเพชรเกษม มีการคมนาคมขนส่งทางรถไฟ ทางน้ำ และทางอากาศซึ่งเป็นบริการของบริษัทการบินไทย

5. การท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวทั้งภายในและ ภายนอกประเทศ มีธรรมชาติสวยงามทั้งที่เป็นเกาะ ถ้ำ น้ำตก แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ หาดใหญ่ ภูเก็ต พังงา สุราษฎร์ธานี สมุย

https://sites.google.com/site/rattiyacoth/laksna-thang-kayphaph-khxng-prathesthiy

ความเป็นมาของอาณาจักรสุโขทัย


ความเป็นมาของอาณาจักรสุโขทัย
                อาณาจักรสุโขทัย เกิดจากความรักชาติ ความเสียสละ และความสามารถของบรรพบุรุษไทย ในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ได้มีพัฒนาการที่เป็นปึกแผ่นมั่นคง มีความเจริญก้าวหน้า   ด้านการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านศิลปวัฒนธรรม จากผลงานและความสามารถของบรรพบุรุษไทยเป็นผู้สร้างมรดกทางวัฒนธรรม และเป็นรากฐานของการพัฒนาชาติบ้านเมืองสืบทอดมาเป็นลำดับ
                การสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย 
อาณาจักรสุโขทัย นับเป็นอาณาจักรของคนไทยที่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นราชธานีใน
ปี พ.ศ. 1762 ก่อนหน้าที่จะมีการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นมา ได้มีเมืองสุโขทัยที่มีความเก่าแก่ เจริญรุ่งเรืองมาก่อน ผลจากการตีความในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 2 ระบุว่าเดิมเมืองสุโขทัยมี      ผู้นำคนไทยชื่อพ่อขุนศรีนาวนำถุม เป็นเจ้าเมืองปกครองอยู่ ภายหลังเมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถุมสิ้นพระชนม์แล้ว ขอมสมาดโขลญลำพง* เป็นนายทหารขอมที่เป็นใหญ่ ได้นำกำลังทหารเข้ายึดเมืองสุโขทัยไว้ได้ทางฝ่ายไทยได้มีการเตรียมการเพื่อยึดเมืองสุโขทัยกลับคืนจาก                     ขอมสมาดโขลญลำพง โดยมีผู้นำไทย 2 คน ได้แก่ พ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง และ          พ่อขุนผาเมือง  เจ้าเมืองราด พ่อขุนทั้งสอง เป็นสหายสนิทกัน และมีความสัมพันธ์กันทางเครือญาติ ร่วมกันนำกำลังเข้าชิงเมืองสุโขทัยกลับคืนมา เมื่อยึดเมืองสุโขทัยจากขอมได้เรียบร้อยแล้ว             พ่อขุนผาเมืองได้ยกทัพออกจากเมืองสุโขทัย เพื่อให้กองทัพของพ่อขุนบางกลางหาวเข้าสู่เมืองสุโขทัย พร้อมกันนั้น พ่อขุนผาเมืองทรงสถาปนาพ่อขุนบางกลางหาวขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองสุโขทัย แล้วถวายพระนามของพระองค์ที่ได้รับจากกษัตริย์ขอม คือ ศรีอินทรบดินทราทิตย์          ให้เป็นเกียรติแก่พ่อขุนบางกลางหาว พร้อมทั้งมอบพระขรรค์ไชยศรี แต่พ่อขุนบางกลางหาว      ทรงใช้พระนามใหม่ว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์  ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง
ของอาณาจักรสุโขทัย  นับตั้งแต่พ.ศ. 1762 เป็นต้นมา อาณาจักรสุโขทัยได้กลายเป็นศูนย์กลางที่มี      อาณาเขตกว้างขวางมีหัวเมืองต่าง ๆ ที่คนไทยรวมตัวกันอยู่เป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรที่ตั้งขึ้นใหม่
ปัจจัยที่เอื้อต่อการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย 
1. ขอมเสื่อมอำนาจลง หลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (ครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 1724-1761) สิ้นพระชนม์ พระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 ปกครองต่อมาอ่อนแอ ขาดความเข้มแข็ง จึงเกิดช่องว่างของอำนาจทางการเมืองขึ้นในดินแดนแถบนี้ เปิดโอกาสให้บรรดาหัวเมืองต่างๆเติบโต และตั้งตนเป็นอิสระ
2. ความสามารถของผู้นำและความสามัคคีของคนไทย ได้แก่ พ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราดและพ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง ได้ร่วมกันผนึกกำลังต่อสู้นายทหารขอม จนได้รับชัยชนะ สามารถประกาศตนเป็นอิสระจากอิทธิพลของขอม
                พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัย และมีพระมหากษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมา 9 พระองค์ ดังนี้
รายพระนามพระมหากษัตริย์ของอาณาจักรสุโขทัยหรือราชวงศ์พระร่วง 
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ  ณ นคร ได้สรุปจำนวนกษัตริย์และปีที่ครองราชสมบัติไว้ ดังนี้

ลำดับที่
รายพระนาม /
ปีที่ครองราชสมบัติ
เหตุการณ์สำคัญ / พระราชกรณียกิจ
1.
พ่อขุน
ศรีอินทราทิตย์
(พ.ศ. 1762 – 1781)
1. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง เมื่อครั้งพระองค์ทรงสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์บ้านเมืองยังไม่สงบ ขุนสามชน
เจ้าเมืองฉอดยกทัพมาตีเมืองตาก หากขุนสามชนยึดเมืองตากไว้ได้ก็อาจจะยกทัพผ่านมายังเมืองศรีสัชนาลัย และสุโขทัยตามลำดับ  พ่อขุน
ศรีอินทราทิตย์ทราบว่ามีกองทัพโจมตีเมืองตาก  จึงได้ยกทัพมาจากเมืองสุโขทัยพร้อมด้วยพระราม พระโอรสองค์ที่ 2 ทรงชนช้างกับขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดจนได้รับชัยชนะ
2. อาณาจักรสุโขทัยได้รับพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์มาจากเมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ โดยพระองค์ทรง
ผูกมิตรไมตรีกับ   พระเจ้าสิริธรรม แห่งเมืองนครศรีธรรมราช โดยแต่งทูตไปลังกา พร้อมกับทูตของเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อติดต่อ
ขอพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานไว้ที่อาณาจักรสุโขทัย
2.
พ่อขุนบานเมือง
(พ.ศ.1822 - 1842)
พ่อขุนบานเมืองทรงเป็นราชโอรสองค์โตของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นครองราชย์ต่อจากพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ในสมัยที่พระราชบิดาทรง       ครองราชสมบัติ พระองค์คงจะได้เคยเป็นพระมหาอุปราชหรือได้รับมอบหมายให้ปกครองบ้านเมืองระหว่างที่มีสงครามและในสมัยที่พ่อขุนบานเมืองทรงครองราชสมบัติได้มีการปราบปรามหัวเมืองบางแห่ง


3.
พ่อขุนรามคำแหง
ปีที่พ่อขุนรามคำแหงขึ้นครองราชย์ เดิมสมเด็จฯ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สันนิษฐานว่าประมาณพ.ศ. 1820 แต่จากการสัมมนาประวัติศาสตร์สุโขทัยวิเคราะห์กันแล้วว่าน่าจะเป็น พ.ศ. 1822
* ในที่นี้ขอใช้คำว่า
พ่อขุนรามคำแหง ซึ่งชื่อเดิมของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช คือ         พ่อขุนราม แต่เมื่อครั้งพระองค์อาสาพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
พระราชบิดา ออกรบชนช้างกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด เมื่อได้รับชัยชนะ  พ่อขุน
ศรีอินทราทิตย์จึงสถาปนาเป็นพ่อขุนรามคำแหง

1. พ่อขุนรามคำแหง ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 2 ในพ่อขุน
ศรีอินทราทิตย์ และพระนางเสือง ทรงพระราชสมภพ เมื่อประมาณ
ปี พ.ศ. 1800 มีพระนามเดิมว่าพระร่วง มีความหมายว่า รุ่งโรจน์ 
2. ขณะที่พ่อขุนรามคำแหง มีพระชนมายุ 19 พรรษา พระองค์ทรงตามเสด็จพ่อขุนศรีอินทราทิตย์พระราชบิดาไปในการทำศึกสงครามกับ
ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด  ซึ่งยกทัพเข้ามาตีเมืองตาก โดยพ่อขุนรามคำแหงทรงแสดงพระปรีชาสามารถโดยไสช้างพระที่นั่งของพระองค์เข้าช่วยพระราชบิดาจนได้รับชัยชนะ ด้วยความกล้าหาญของพระองค์ พระราชบิดาได้พระราชทานนามให้พระองค์ว่า รามคำแหงหมายถึง
ผู้กล้าหาญ
3. ทรงประดิษฐ์อักษรไทย การประดิษฐ์อักษรไทยนับเป็นมรดกวัฒนธรรมอันล้ำค่าของอาณาจักรสุโขทัย โดยพ่อขุนรามคำแหง ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น เมื่อ พ.ศ. 1826 สันนิษฐานว่าดัดแปลงมาจากตัวอักษรขอมและมอญ และพระองค์ทรงจารึกตัวอักษรลงในหลักศิลาจารึกที่เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ในรัชกาลของพระองค์และสังคมสุโขทัย
4. ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ชนชาติไทยเรืองอำนาจเหนือดินแดนในสุพรรณภูมิ อีกทั้งยังมีอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาล
ดังปรากฏในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ 1 ดังนี้
  • ทิศเหนือ มีขอบเขตไปถึงเมืองแพร่, เมืองน่าน, เมืองพลัว (.........), เมืองชวา (ปัจจุบันคือ เมืองหลวงพระบาง)
  • ทิศใต้ มีขอบเขตไปถึง เมืองคณฑี (จังหวัดกำแพงเพชร),
    เมืองพระบาง (จังหวัดนครสวรรค์), เมืองแพรก (จังหวัดชัยนาท),
    เมืองนครศรีธรรมราช, เมืองสุพรรณภูมิ (จังหวัดสุพรรณบุรี)  จนจดฝั่งทะเล
  • ทิศตะวันออก มีขอบเขตไปถึงเมืองสระหลวง (จังหวัดพิจิตร), เมืองสองแคว (จังหวัดพิษณุโลก) , เมืองลุมบาจาย (จังหวัดเพชรบูรณ์), เมืองสคา (........) ถึงเมืองเวียงจันทน์ และเมืองเวียงคำ
  • ทิศตะวันตก มีขอบเขตไปถึงเมืองฉอด, เมืองหงสาวดี
    จนสุดชายฝั่งทะเล

4.
พญาเลอไท
พญาเลอไท   ทรงได้ดำเนินนโยบายในการพยายามรวบรวมอาณาเขตตลอดชั่วระยะเวลา 18 ปีที่พระองค์ ทรงครองราชสมบัติ
5.
พญางั่วนำถุม
ในสมัยของพญางั่วนำถุมครองราชสมบัติ เป็นช่วงระยะเวลาที่อาณาจักรสุโขทัยอยู่ในฐานะที่คลอนแคลน มีความแตกแยกระหว่างเจ้านายในพระราชวงศ์ออกเป็นหลายฝ่าย เมื่อพญางั่วนำถุมสวรรคต  ก็มีการแย่งชิง
ราชสมบัติเกิดขึ้นที่เมืองสุโขทัย  พญาลิไทซึ่งครองเมืองศรีสัชนาลัย
ต้องยกทัพเข้ามาปราบปรามและปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์

6.
พระมหาธรรมราชา
ที่ 1
(พญาลิไท)
(ขึ้นครองราชย์สมบัติ
ปี พ.ศ. 1890)
พระมหาธรรมราชาที่ 1 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 6
แห่งอาณาจักรสุโขทัยทรงเป็นพระราชโอรสของพญาเลอไท  ทรงขึ้นครองราชสมบัติโดยการปราบดาภิเษกจากความพยายามของพระองค์ภายหลังการขึ้นครองราชสมบัติแล้ว พระองค์ทรงมีความมุ่งมั่นที่จะรวบรวมเมืองต่าง ๆ ที่แตกแยกให้เข้ามารวมกันอีกเหมือนครั้งในสมัยของพ่อขุนรามคำแหงและทรงเสด็จไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อเผยแผ่และกระทำกิจทางศาสนา  ตลอดจนสร้างสัมพันธไมตรีอันดีกับเมืองเชียงใหม่  โดยทรงมีพระราชานุญาตให้พระสมณะเถระไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่เชียงใหม่ ตามที่พระเจ้ากือนาแห่งเชียงใหม่ทรงขอมา
7.
พระมหาธรรมราชา
ที่ 2
ครองราชสมบัติถึงประมาณ
ปี พ.ศ. 1942
พระมหาธรรมราชาที่ 2 ทรงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติต่อจาก
พระมหาธรรมราชาที่ 1 ในขณะนั้นอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพระงั่ว) ได้ขยายอำนาจมายังอาณาจักรสุโขทัย โดยเริ่มตีและยึดเมืองเหนือได้หลายเมือง  แต่พระมหาธรรมราชาที่ 2 ได้ป้องกันเมืองเป็นสามารถ แต่เมื่อเห็นว่าจะสู้รบต่อไปไม่ไหวจึงถวายบังคม  ขุนหลวงพระงั่ว  โปรดให้พระมหาธรรมราชาที่  2 ครองอาณาจักรสุโขทัยต่อไปในฐานะ  ประเทศราชของอาณาจักรอยุธยา จนถึงปี พ.ศ. 1931 อาณาจักรสุโขทัยได้แข็งเมืองไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในปี พ.ศ. 1931  ขุนหลวงพระงั่ว จึงยกทัพไป
ตีชากังราว  แต่พระองค์ได้เสด็จสวรรคตกลางทาง


8
พระมหาธรรมราชา
ที่ 3
(พญาไสยลือไท)
(ขึ้นครองราชสมบัติในปี พ.ศ.1931)
พระมหาธรรมราชาที่ 3 ทรงเป็นโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ 2 พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีฝีมือเข้มแข็ง สามารถแผ่ขยายอาณาเขต  เพื่อกู้เสถียรภาพทางการเมืองของอาณาจักรสุโขทัยให้ฟื้นตัวขึ้นมาอีก โดยยกทัพไปปราบยังเมืองต่าง ๆ ให้อยู่ในอำนาจ
9
พระมหาธรรมราชา
ที่ 4
(พระบรมปาล)
(ขึ้นครองราชสมบัติ
ในปี พ.ศ. 1962)
ในสมัยของพระมหาธรรมราชาที่  4  อาณาจักรสุโขทัยตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง พระมหาธรรมราชาที่ 4 ทรงครอง
ราชสมบัติได้ 19 ปี  ก็สวรรคตเชื้อสายพระร่วงเกิดแย่งชิงราชสมบัติกันสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) แห่งอาณาจักรอยุธยา โปรดให้พระราเมศวรพระราชโอรสขึ้นไปครองพิษณุโลก นับตั้งแต่นั้นมาสุโขทัยจึงถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา
http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/bangkok/malaiwan_c/historym1/unit03_01.html